ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ที่กำลังสร้าง หรือบ้านเก่าที่ต้องการปรับปรุงระบบไฟฟ้า การ “เดินสายไฟ” ถือเป็นงานพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะ ระบบไฟฟ้า ที่ดี ไม่เพียงช่วยให้การใช้งานสะดวกและต่อเนื่อง แต่ยังเป็นหัวใจของ “ความปลอดภัย” ในบ้านทุกหลังอีกด้วย
เจ้าของบ้านหลายคนอาจเข้าใจว่าเรื่องของการเดินสายไฟเป็นหน้าที่ของช่างไฟหรือวิศวกร แต่ในความเป็นจริง เจ้าของบ้านเองก็ควรมีความรู้พื้นฐานบางอย่าง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของงาน ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ และดูแลรักษาระบบได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า “ รับเดินสายไฟในบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง? ” พร้อมชี้จุดที่ควรใส่ใจ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า เช่น ไฟดูด ไฟไหม้ หรือระบบไฟฟ้าขัดข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ทำไมเจ้าของบ้านต้องรู้เรื่องระบบไฟฟ้า?
หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องไฟฟ้า เพราะมีช่างหรือผู้รับเหมาดูแลอยู่แล้ว แต่การมี “ความรู้เบื้องต้น” มีประโยชน์มากในหลายมิติ:
- ตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งได้
- วางแผนจุดปลั๊กไฟ แสงสว่าง ได้ตรงกับการใช้งานจริง
- เลือกวัสดุไฟฟ้าให้เหมาะสม คุ้มค่า
- ดูแลรักษาระบบเบื้องต้นได้เอง
- ลดโอกาสเกิดอันตรายจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
โดยเฉพาะในยุคที่อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านมีมากขึ้น เช่น ทีวี 4K, ตู้เย็น Inverter, เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า, สมาร์ทโฮม ฯลฯ การเดินสายไฟอย่างถูกต้องและปลอดภัยจึงสำคัญมาก
2. เลือกช่างไฟต้องดูอะไร? อย่าเสี่ยงกับ “ช่างไม่มีใบอนุญาต”
หนึ่งในจุดเสี่ยงของบ้านหลายหลัง คือการเลือกใช้ “ช่างไฟไม่ได้มาตรฐาน” ซึ่งอาจไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่ถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร, เดินสายไฟผิดขนาด, ไม่มีระบบสายดิน ฯลฯ
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนจ้างช่างไฟ
- มีใบอนุญาตช่างไฟฟ้าจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือไม่
- มีใบประกอบวิชาชีพช่างไฟฟ้า ระดับ 1–3 (กรณีระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่)
- มีผลงานการเดินระบบไฟบ้านมาก่อนหรือไม่
- สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพได้หรือไม่
- มีใบเสนอราคาชัดเจน พร้อมแสดงรายการวัสดุ
หากเป็นบ้านใหม่หรือระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหลัง ควรใช้ช่างที่มีวิศวกรไฟฟ้ารับรองแบบ (มี กว.) เพื่อให้ผ่านมาตรฐานการขอเลขบ้าน/ไฟฟ้า
3. เข้าใจชนิดของสายไฟก่อนติดตั้ง – เลือกให้ถูก ปลอดภัย ใช้งานได้นาน
สายไฟเป็นหัวใจของระบบไฟฟ้าในบ้าน การเลือกใช้สายไฟผิดประเภทหรือขนาดไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิด “ความร้อนสะสม” จนเป็นต้นเหตุของไฟไหม้ได้
ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้ในบ้าน
ชื่อสายไฟ |
คุณสมบัติ | การใช้งาน |
VAF |
สายแบน หุ้ม PVC |
เดินในผนัง/ฝ้า สำหรับแสงสว่าง |
THW |
ทนความร้อน 70°C |
เดินในท่อร้อยสาย หรือภายนอก |
NYY |
หุ้มสองชั้น ใช้ภายนอก/ฝังดิน |
สายเมนจากตู้ไฟเข้าบ้าน |
XLPE | ทนความร้อนสูง 90°C |
ใช้กับโหลดสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ |
ขนาดสายไฟ (ตามกระแสที่รับได้)
ขนาดสาย (ตร.มม.) |
รองรับกระแส (แอมป์) |
ตัวอย่างการใช้งาน |
2.5 |
20–25 | ปลั๊กไฟทั่วไป |
4.0 |
30–35 |
ปั๊มน้ำ |
6.0 |
40–45 |
เครื่องทำน้ำอุ่น |
10.0 ขึ้นไป | 50+ |
ระบบแอร์ใหญ่ หรือสายเมน |
แนะนำ: เลือกสายไฟที่มี มอก. รับรอง และมีฉนวนหุ้มคุณภาพสูง ป้องกันความชื้นและหนูกัด
4. ระบบสายดิน – เรื่องเล็กที่ห้ามมองข้าม
“สายดิน” หรือ Grounding System คือระบบที่ช่วยป้องกันไฟฟ้ารั่ว และช่วยตัดไฟทันทีเมื่ออุปกรณ์มีปัญหา เช่น เครื่องทำน้ำอุ่นรั่ว, ปลั๊กไฟช็อต
หน้าที่ของสายดิน
- ป้องกันไฟดูด
- นำกระแสไฟรั่วลงดินได้ทันที
- ทำงานร่วมกับเบรกเกอร์ตัดไฟอัตโนมัติ (RCD/ELCB)
การติดตั้งสายดินที่ถูกต้อง
- เดินสายดินจากทุกปลั๊กสำคัญ (เฉพาะปลั๊ก 3 ขา)
- ติดตั้ง Ground Rod (แท่งทองแดงฝังดิน) อย่างน้อย 1 จุด
- ความต้านทานดินต้องต่ำกว่า 5 โอห์ม (วัดด้วย Earth Tester)
- ใช้สายไฟสีเขียว/เหลือง เป็นมาตรฐานของสายดิน
บ้านที่ไม่มีสายดิน มีความเสี่ยงสูงมากต่อไฟดูด โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว และพื้นที่ชื้น
5. ตู้เมนเบรกเกอร์ – จุดควบคุมความปลอดภัยทั้งระบบ
ตู้เมนเบรกเกอร์ (Main Distribution Board – MDB) คือตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหลัง ใช้สำหรับแบ่งวงจร ควบคุมการตัด–ต่อไฟ และป้องกันไฟลัดวงจร
ส่วนประกอบของตู้เมนเบรกเกอร์
- Main Breaker: ตัดไฟทั้งบ้านเมื่อเกิดเหตุ
- Miniature Circuit Breaker (MCB): ตัดวงจรย่อย เช่น ห้องนอน ห้องครัว
- RCD หรือ ELCB: ตัดไฟเมื่อมีไฟรั่ว
- Surge Protector: ป้องกันไฟกระชากจากฟ้าผ่า
เคล็ดลับการออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์
- แบ่งวงจรออกเป็นห้อง หรือประเภทโหลด เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องทำน้ำอุ่น
- เลือกเบรกเกอร์ที่รับกระแสเหมาะสม ไม่เล็กเกิน ไม่ใหญ่เกิน
- ติดตั้งในจุดที่เข้าถึงง่าย เช่น ผนังหน้าบ้านหรือห้องเก็บของ
- ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น
- มีช่องสำหรับต่อวงจรสำรองในอนาคต
หากบ้านมีระบบโซลาร์เซลล์ หรือ EV Charger ควรออกแบบตู้เมนพิเศษร่วมกับวิศวกรไฟฟ้า
เคล็ดลับเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบไฟในบ้าน
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าทุก 2–3 ปี โดยช่างมืออาชีพ
- เปลี่ยนปลั๊กหรือสายไฟที่กรอบ แตก ลอกทันที
- ห้ามใช้ปลั๊กพ่วงต่อหลายชั้น
- ใช้เบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว (RCD) โดยเฉพาะในห้องน้ำ
- เดินสายไฟอย่างเรียบร้อย ไม่พาดผ่านจุดเสี่ยงหรือใกล้น้ำ
สรุป สิ่งที่เจ้าของบ้านควรรู้
การเดินสายไฟในบ้าน เป็นงานสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความปลอดภัยของคนในบ้าน” และ “อายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า” ในระยะยาว การรู้พื้นฐานต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผน จ้างช่าง และดูแลระบบไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ
- เลือกช่างไฟที่มีใบอนุญาต และมีผลงานน่าเชื่อถือ
- เข้าใจชนิดและขนาดของสายไฟ ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์
- ติดตั้งระบบสายดิน อย่างครบถ้วน ลดความเสี่ยงไฟดูด
- ออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์ให้มีระบบป้องกันครบ
- ดูแลระบบอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเช็กทุก 2–3 ปี