ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

ในโลกของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีขั้นสูง ระบบไฟฟ้าเปรียบได้กับระบบไหลเวียนโลหิตของโรงงาน เพราะกระบวนการผลิต เครื่องจักร สายการผลิต ไปจนถึงระบบอาคารทั้งหมด ต่างต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

การออกแบบและติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเทคนิคของวิศวกร แต่เป็นเรื่องที่เจ้าของโรงงานควร “รู้และเข้าใจ” เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง งานไฟฟ้า ไปจนถึงการวางแผนขยายกำลังผลิตในอนาคต

บทความนี้จะสรุป 5 ข้อควรรู้ ที่เจ้าของโรงงานและผู้วางแผนโครงการควรเข้าใจ ก่อนเริ่มต้นติดตั้งระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าโรงงานจะสามารถดำเนินงานได้อย่าง ปลอดภัย เสถียร และประหยัดพลังงาน

มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน

สารบัญ

1. มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน – ต้องรู้ไว้ก่อนเริ่ม

ระบบไฟฟ้าในโรงงานต้องออกแบบและติดตั้งภายใต้กรอบของกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และกระบวนการผลิตทั้งหมด

1.1 กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

  • มาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม (ตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม)
  • มาตรฐาน มอก. (มอก. 11-2553, มอก. 2432-2555 ฯลฯ)
  • มาตรฐาน NEC (National Electrical Code – USA) สำหรับระบบใหญ่
  • IEC (International Electrotechnical Commission) สำหรับโรงงานที่มีการส่งออก
  • มาตรฐาน IEEE และ NFPA (สำหรับระบบความปลอดภัยและไฟฟ้าพิเศษ)

1.2 การยื่นขออนุญาต

การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานจะต้องมีการยื่นแบบไฟฟ้าต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น:

  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค / การไฟฟ้านครหลวง – สำหรับขอเชื่อมต่อระบบแรงสูง-แรงต่ำ
  • กรมโรงงานอุตสาหกรรม – สำหรับโรงงานที่มีหม้อแปลง, โหลดเกินเกณฑ์
  • เทศบาล / อบต. – ขออนุญาตก่อสร้างอาคารและติดตั้งระบบ

เจ้าของโรงงานควรเลือกผู้รับเหมาระบบไฟฟ้าที่มีวิศวกร กว. (ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม) เพื่อให้สามารถยื่นแบบและควบคุมงานได้ตามกฎหมาย

ประเมินความต้องการพลังงาน

2. ประเมินความต้องการพลังงานอย่างแม่นยำ – เพื่อระบบที่ไม่ล่มและไม่เกินงบ

การรู้ว่าต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ คือกุญแจสำคัญในการออกแบบระบบไฟฟ้าที่เหมาะสม ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่สิ้นเปลือง และไม่ต้องแก้ภายหลัง

2.1 โหลดไฟฟ้าคืออะไร?

โหลด คือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่โรงงานต้องใช้ในการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น:

  • มอเตอร์ ปั๊ม พัดลม
  • ระบบแสงสว่าง
  • เครื่องทำความเย็น/อากาศ
  • ระบบคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์
  • อุปกรณ์ชาร์จรถไฟฟ้า (หากมี)

2.2 วิธีคำนวณโหลดไฟฟ้าเบื้องต้น

  1. รวบรวมข้อมูลโหลดจากอุปกรณ์ทุกชนิด (กำลังไฟฟ้าเป็น kW หรือ kVA)
  2. นำค่าทั้งหมดมารวมกัน แล้วคูณกับ “Demand Factor” (ประมาณ 0.7–0.9 ขึ้นกับประเภทโรงงาน)
  3. เผื่อโหลดล่วงหน้า 20–30% สำหรับการขยายในอนาคต

ตัวอย่าง: โหลดรวมเครื่องจักร 400 kW → เผื่อโหลด +30% → รวม 520 kW
หม้อแปลงที่เหมาะสม = อย่างน้อย 630 kVA ขึ้นไป

2.3 ตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้า

ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ด้วย

  • Power Factor (ควรไม่ต่ำกว่า 0.95)
  • ความสม่ำเสมอของแรงดัน (Voltage Fluctuation)
  • ความถี่ (Frequency Stability)

การจัดวางตู้ไฟฟ้า

3. การจัดวางตู้ไฟฟ้าและหม้อแปลง – อย่ามองข้ามความปลอดภัย

การจัดวางอุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น MDB (Main Distribution Board), หม้อแปลง, ATS, ตู้ควบคุมเครื่องจักร ฯลฯ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย และใช้งานสะดวกในระยะยาว

3.1 ตำแหน่งของห้องไฟฟ้า

  • ควรตั้งอยู่ใกล้จุดรับไฟจากการไฟฟ้า
  • อยู่ในจุดที่ระบายอากาศได้ดี ไม่ชื้น ไม่ใกล้วัตถุไวไฟ
  • มีทางเข้า–ออกที่สะดวก ปลอดภัย หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

3.2 ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

  • ผนังห้องควบคุมควรเป็นวัสดุกันไฟอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
  • มีระบบระบายความร้อน (สำหรับหม้อแปลงแบบ Dry Type หรือ Oil Type)
  • ติดตั้ง Grounding และระบบ Surge Protection
  • ป้ายเตือนแรงสูง และเครื่องดับเพลิงชนิดที่ใช้กับไฟฟ้า (Class C)

3.3 การจัดวางตู้ควบคุมและสายไฟ

  • ควรวางแผน Layout ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างอาคาร
  • ใช้รางสายไฟที่มีมาตรฐาน มีฝาปิด ป้องกันฝุ่น
  • แยกตู้ควบคุมเครื่องจักรออกจากตู้แสงสว่าง
  • ติดตั้งตู้ที่ระดับความสูง 1.2–1.5 เมตร เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

สายไฟให้รองรับการใช้งาน

4. การเดินสายไฟให้รองรับการใช้งานและการขยายในอนาคต

สายไฟเป็นโครงข่ายหลักของระบบไฟฟ้า หากออกแบบไม่ดี จะส่งผลระยะยาวทั้งเรื่องไฟตก ร้อนเกินไป หรือแม้แต่ไฟไหม้

4.1 หลักในการเดินสายไฟ

  • เดินสายโดยแยกตามประเภทโหลด เช่น เครื่องจักร, แสงสว่าง, ปลั๊กไฟ
  • แยก Phase ให้เหมาะสม ลดการโอเวอร์โหลด
  • วางสายในราง (Cable Tray) หรือท่อเหล็ก (EMT / RSC) ที่มีการป้องกันดี
  • เลือกขนาดสายให้เผื่อกระแสประมาณ 20–25%

4.2 รองรับอนาคต

  • วางรางสายไฟที่มีขนาดเผื่อไว้สำหรับสายเพิ่มเติม
  • จัดโครงสร้างสายไฟแบบ “Modular” ที่สามารถต่อขยายได้ง่าย
  • ติดตั้งตู้สำรอง (Spare Panel) เพื่อรองรับอุปกรณ์ใหม่
  • ติดตั้งช่องเดินสายหรือท่อร้อยสายไว้ล่วงหน้าแม้ยังไม่ใช้งาน
  • การออกแบบที่ยืดหยุ่น ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงในอนาคตง่ายขึ้น และไม่ต้องรื้อระบบใหม่ทั้งหมด

ผู้รับเหมางานไฟฟ้า

5. เลือกผู้รับเหมางานไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด ไม่ว่าระบบจะออกแบบดีแค่ไหน หากเลือกผู้รับเหมาผิด อาจเกิดปัญหาใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย และคุณภาพงาน

5.1 สิ่งที่ควรพิจารณา

  • บริษัทมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (กว.) หรือไม่?
  • มีวิศวกรไฟฟ้าควบคุมงานเต็มเวลา?
  • เคยทำงานระบบไฟฟ้าในโรงงานมาก่อนหรือไม่?
  • มีเอกสารแบบไฟฟ้า SLD, BOQ, และ Load List อย่างชัดเจน
  • รับประกันงานหลังติดตั้งนานแค่ไหน?

5.2 ระบบที่ควรมีในการติดตั้ง

  • ระบบ QA/QC ตรวจสอบทุกขั้นตอน
  • การทดสอบระบบก่อนเปิดใช้งานจริง (Commissioning Test)
  • การอบรมผู้ใช้งานเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเบื้องต้น
  • เอกสารคู่มือและแผนผังระบบไฟฟ้า

สรุป เรื่องที่เจ้าของโรงงานควรรู้

การ ติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่การ “ลากสายและเปิดไฟ” แต่เป็นโครงการที่ต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม ความแม่นยำในการวางแผน และความเข้าใจเชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับการผลิตในอนาคต

  1. เข้าใจมาตรฐานและกฎหมาย ที่ใช้ควบคุมการติดตั้ง
  2. คำนวณโหลดไฟฟ้าอย่างแม่นยำ และเผื่อการขยาย
  3. วางตำแหน่งตู้ไฟ/หม้อแปลง ให้ปลอดภัยและใช้งานสะดวก
  4. เดินสายไฟแบบเผื่ออนาคต ลดความยุ่งยากในการปรับปรุง
  5. เลือกผู้รับเหมาที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในงานอุตสาหกรรม

 

แชร์บทความนี้