25 August 2025
การสร้างโรงงานถือเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจหรือการขยายกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญของภาคเหนือ ประเทศไทย ด้วยทำเลที่เหมาะสม มีนิคมอุตสาหกรรมรองรับ และแรงงานในพื้นที่ที่พร้อมใช้งาน การวางแผนสร้างโรงงานให้มีขนาดที่เหมาะสม และควบคุมงบประมาณให้คุ้มค่า จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องให้ความสำคัญ
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกว่า หากคุณต้องการใช้บริการ รับสร้างโรงงานลำพูน ขนาด 1,000 ตร.ม. ควรเตรียมงบประมาณเท่าไหร่ มีรายการวัสดุและค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง รวมถึงระบบไฟฟ้าและระบบประปาเบื้องต้นที่จำเป็นต้องติดตั้ง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ทำไมลำพูนจึงเป็นทำเลทองสำหรับสร้างโรงงาน?
ก่อนเข้าสู่รายละเอียดเรื่องงบประมาณ เราควรทำความเข้าใจว่าทำไมลำพูนจึงเป็นพื้นที่ยอดนิยมสำหรับผู้ที่มองหาบริการ รับสร้างโรงงานลำพูน ขนาด 1,000 ตร.ม. หรือขนาดอื่น ๆ
- มีนิคมอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว เช่น นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (Northern Region Industrial Estate – NRIE)
- ต้นทุนแรงงานต่ำกว่าพื้นที่เมืองใหญ่
- ระบบขนส่งเชื่อมโยงถึงเชียงใหม่ได้ง่าย
- ค่าที่ดินยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล
ขนาดโรงงาน 1,000 ตร.ม. เหมาะกับใคร?
โรงงานขนาด 1,000 ตารางเมตร (ประมาณ 25 x 40 เมตร) ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ไม่เล็กจนเกินไป เหมาะสำหรับธุรกิจประเภท
- โรงงานแปรรูปอาหารขนาดเล็ก-กลาง
- โรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- โกดังเก็บสินค้า
- โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์
- ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการพื้นที่ผลิตจริงควบคู่สำนักงาน
พื้นที่นี้สามารถแบ่งเป็นโซนได้ เช่น พื้นที่ผลิต โซนจัดเก็บ โซนสำนักงาน ห้องน้ำ และห้องควบคุมคุณภาพ

รับสร้างโรงงานลำพูน ขนาด 1,000 ตร.ม. ต้องใช้งบเท่าไหร่?
โดยประมาณ งบการก่อสร้างโรงงานขนาด 1,000 ตารางเมตร จะอยู่ในช่วง 3.5 – 6 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้:
1. ประเภทโครงสร้าง
- โครงสร้างเหล็ก (Pre-Fabricated Steel)
ประหยัดเวลา ติดตั้งเร็ว คุ้มทุน
ราคาประมาณ 1,500 – 2,500 บาท/ตร.ม. - โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (RC)
แข็งแรงทนทาน แต่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า
ราคาประมาณ 2,000 – 3,000 บาท/ตร.ม.
หากเลือกโครงเหล็ก งบประมาณจะอยู่ราว 3.5 – 5 ล้านบาท แต่ถ้าใช้โครงสร้างคอนกรีต งบอาจขยับไปที่ 5 – 6.5 ล้านบาท
2. รายการวัสดุก่อสร้างหลัก
รายการ รายละเอียด ราคาประเมิน (บาท) เสา คาน เหล็ก เหล็ก H-Beam, I-Beam 700,000 – 1,000,000 หลังคาเมทัลชีท + ฉนวน PU Foam, EPS หรือ Rockwool 250,000 – 400,000 ผนังเมทัลชีท/คอนกรีต ขึ้นอยู่กับแบบ 150,000 – 300,000 ประตูม้วน/ประตูเหล็ก 2 – 4 จุด 50,000 – 100,000 หน้าต่าง-ช่องแสง ช่องแสงกระจกอลูมิเนียม 20,000 – 50,000 พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก หนา 15 – 20 ซม. 300,000 – 500,000 ระบบระบายอากาศ พัดลมระบาย, Ventilator 100,000 – 200,000 ห้องน้ำ / พื้นที่สำนักงาน ก่ออิฐฉาบปูน กระเบื้อง สุขภัณฑ์ 100,000 – 300,000 3. ค่าแรงงานและงานระบบอื่น ๆ
รายการ ราคาประเมิน ค่าแรงงานติดตั้ง 500,000 – 800,000 ระบบไฟฟ้า เดินสาย, เบรกเกอร์, ดวงไฟ ระบบประปา ถังเก็บน้ำ, ปั๊ม, ท่อน้ำดี-ทิ้ง ค่าถมดิน ปรับพื้นที่ (ถ้ามี) งานเขียนแบบและอนุญาต พร้อมยื่นแบบราชการ ตัวอย่างประมาณการงบสร้างโรงงาน 1,000 ตร.ม.
รายการ งบประมาณ (บาท) โครงสร้างเหล็ก + พื้นฐานราก 1,800,000 หลังคา + ฉนวนกันร้อน 350,000 ผนังและประตู 300,000 พื้นโรงงาน 400,000 ระบบไฟฟ้า 200,000 ระบบประปา 100,000 ห้องน้ำ + สำนักงานย่อย 250,000 ค่าแรงงานรวม 700,000 อื่น ๆ / ค่าถมดิน / แบบ 200,000 รวมประมาณการ 4,300,000 บาท 
ระบบไฟฟ้าและระบบประปาที่ควรมีในโรงงาน
ระบบไฟฟ้า
- ตู้เมนเบรกเกอร์ควบคุมไฟ
- สายไฟหลัก-รองมาตรฐานอุตสาหกรรม
- ไฟส่องสว่างภายในโรงงาน
- ไฟฉุกเฉิน
- เต้ารับสำหรับเครื่องจักร (3 phase, 220/380 V)
- ระบบกราวด์เพื่อความปลอดภัย
ระบบประปา
- ระบบน้ำดีเชื่อมต่อจากท่อประปาหลัก
- ถังเก็บน้ำสำรอง
- ปั๊มน้ำไฟฟ้าอัตโนมัติ
- ระบบน้ำใช้ภายในห้องน้ำ, ซิงก์ล้างมือ, ล้างอุปกรณ์
- ท่อน้ำทิ้งพร้อมถังบำบัด
ระยะเวลาในการก่อสร้างโรงงาน 1,000 ตร.ม.
ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เดิม และชนิดโครงสร้าง
- โครงเหล็ก: 2 – 4 เดือน
- โครงคอนกรีต: 3 – 6 เดือน
หากไม่มีปัญหาเรื่องดินหรือสภาพอากาศ การก่อสร้างสามารถทำได้รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป
ข้อควรรู้ก่อนจ้างผู้รับเหมาสร้างโรงงานในลำพูน
- ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของวิศวกร
- ขอดูผลงานที่ผ่านมา
- ตรวจสอบรายละเอียด BOQ และแบบแปลน
- อย่าลืมเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- ควรมีสัญญาก่อสร้างที่ระบุเงื่อนไขชัดเจน
สรุป รับสร้างโรงงานลำพูน ขนาด 1,000 ตร.ม. คืออะไร
รับสร้างโรงงานลำพูน ขนาด 1,000 ตร.ม. ถือเป็นการลงทุนที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ โดยรวมแล้วงบประมาณจะอยู่ในช่วง 3.5 – 6 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและรายละเอียดของวัสดุที่เลือกใช้ โดยต้องไม่ลืมรวมระบบไฟฟ้า ประปา ค่าแรงงาน และค่าออกแบบต่าง ๆ ไว้ในแผนงบประมาณด้วย
การเลือก บริษัทรับเหมา ที่มีประสบการณ์ในลำพูนโดยตรงจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าโครงการจะแล้วเสร็จตามแผน ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมาย และพร้อมใช้งานได้ทันเวลา หากวางแผนอย่างดี โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความมั่นคงทางธุรกิจของคุณในระยะยาว
25 August 2025
อาคารพาณิชย์ในเชียงใหม่จำนวนมากถูกสร้างขึ้นมาหลายสิบปี บางหลังมีศักยภาพสูงแต่ขาดการดูแลหรือปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย หากคุณเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์เก่า และกำลังคิดจะปรับปรุงใหม่เพื่อปล่อยเช่า เปิดร้าน หรือทำโฮมออฟฟิศ การรีโนเวทให้ทันสมัยและเหมาะกับการใช้งานจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่เชียงใหม่ที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงใหม่ ทำอย่างไรได้บ้าง ทั้งการรีโนเวทภายนอก การปรับผังภายใน การเลือกวัสดุ การวางระบบใหม่ รวมถึงการประมาณงบประมาณและระยะเวลาให้เหมาะสมที่สุด

ทำไมการรีโนเวทอาคารพาณิชย์ในเชียงใหม่ถึงคุ้มค่า
- ต้นทุนต่ำกว่าสร้างใหม่
แทนที่จะทุบแล้วเริ่มต้นใหม่ การรีโนเวทช่วยลดต้นทุนวัสดุ โครงสร้าง และภาษีได้มาก
- ทำเลทองยังมีคุณค่า
อาคารพาณิชย์ในโซนเมืองเชียงใหม่หลายแห่งตั้งอยู่ในทำเลดี เช่น ถ.นิมมานเหมินท์ ถ.เจริญประเทศ ถ.วัวลาย ฯลฯ
- ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
อาคารเก่าปรับโฉมแล้วสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ร้านกาแฟ โฮสเทล โคเวิร์กกิ้งสเปซ
- ได้ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์
การผสมผสานความวินเทจกับโมเดิร์น ช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับธุรกิจในอาคารนั้น

ขั้นตอนการรีโนเวทอาคารพาณิชย์ให้กลายเป็นสไตล์โมเดิร์น
1. สำรวจโครงสร้างอาคารเดิม
- ตรวจสอบสภาพฐานราก เสา คาน และพื้น เพื่อประเมินว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่
- หากพบปัญหาแตกร้าว ต้องประเมินกับวิศวกรก่อนดำเนินการต่อ
- ดูระบบไฟฟ้า ประปา ระบบกันซึม ที่อาจเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
2. ออกแบบใหม่ให้สอดคล้องกับฟังก์ชัน
- ปรับผังภายในให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น
- ชั้นล่างเป็นโซนธุรกิจ / ต้อนรับลูกค้า
- ชั้นบนเป็นที่พักหรือออฟฟิศ
- ย้ายผนังบางส่วนเพื่อให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น เช่น เปิดโล่ง โถงสูง
- เพิ่มห้องน้ำหรือ Pantry ให้เหมาะกับการใช้งานจริง
3. รีโนเวทภายนอก: เปลี่ยนโฉมหน้าตาอาคาร
- เปลี่ยนหน้ากากอาคาร (Façade) ด้วยอลูมิเนียมหรือเหล็ก
- ทาสีใหม่ในโทนเรียบ เช่น เทา ขาว ดำ
- เพิ่มกระจกบานใหญ่ให้ดูโปร่งและทันสมัย
- ติดตั้งกันสาดหรือป้ายที่มีดีไซน์ชัดเจน เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์
4. วางระบบใหม่ให้รองรับเทคโนโลยี
- เปลี่ยนสายไฟและตู้เมนไฟให้ปลอดภัยและรองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าสมัยใหม่
- ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด CCTV ระบบเน็ตเวิร์ก Wi-Fi
- วางระบบท่อประปาใหม่ หากระบบเก่าเริ่มเสื่อม
- ติดตั้งระบบปรับอากาศหรือระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ
แนวคิดการออกแบบโมเดิร์นที่เหมาะกับอาคารพาณิชย์เชียงใหม่
- Minimal Style ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อย ดูเรียบแต่หรู
- Industrial Loft โชว์โครงสร้าง เหล็กดำ พื้นปูนขัดมัน
- Modern Tropical ผสมผสานวัสดุไม้จริงกับงานโมเดิร์น ให้เข้ากับบรรยากาศเชียงใหม่
- Mix Vintage x Modern ดึงโครงสร้างเดิมบางส่วนมาใช้ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ทันสมัย
งบประมาณในการรีโนเวทอาคารพาณิชย์เชียงใหม่
งบประมาณจะขึ้นอยู่กับขนาดอาคาร ความเสียหายเดิม และระดับความหรูหราของวัสดุ
รายการ
ประมาณการค่าใช้จ่าย
(บาทต่อตารางเมตร)
งานโครงสร้าง / ซ่อมแซมพื้นฐาน
3,000 – 5,000
งานปรับปรุงภายนอก (ทาสี, เปลี่ยน façade)
2,000 – 3,500
งานปรับผังภายใน (กั้นห้อง, ทุบผนัง)
1,500 – 2,500
งานระบบไฟฟ้า-ประปาใหม่
2,000 – 4,000
งานตกแต่งภายใน / เฟอร์นิเจอร์
3,000 – 7,000
งานระบบพิเศษ (CCTV, แอร์, Wi-Fi)
1,000 – 3,000
รวมงบคร่าว ๆ เริ่มต้นประมาณ 500,000 – 2,000,000 บาท ขึ้นกับพื้นที่และวัสดุ

ระยะเวลาการรีโนเวท
ระยะเวลารีโนเวทอาคารพาณิชย์ในเชียงใหม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
ขนาดอาคาร
ระยะเวลาโดยประมาณ
2 ชั้น (หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12 เมตร)
2 – 3 เดือน 3–4 ชั้น หรือรีโนเวททั้งระบบ
3 – 6 เดือน
กรณีโครงสร้างเสียหายหนัก มากกว่า 6 เดือน
สิ่งที่ควรระวังเมื่อรีโนเวทอาคารพาณิชย์
- ไม่ตรวจสอบโครงสร้างเดิมให้ดี อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย
- ลืมปรับปรุงระบบภายใน โดยเฉพาะไฟฟ้า ประปา ที่อาจเสื่อมตามอายุอาคาร
- ขาดแบบแปลนชัดเจน ทำให้ผู้รับเหมาเข้าใจไม่ตรงกัน
- ไม่คำนึงถึงระยะร่น / กฎหมายอาคารเชียงใหม่ เสี่ยงต่อการไม่ได้รับอนุญาต
- งบประมาณบานปลาย หากไม่มีการวางแผนควบคุมต้นทุน
เลือกผู้ให้บริการ “รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงใหม่ ปรับปรุงใหม่” อย่างไร?
- มีประสบการณ์เฉพาะในพื้นที่เชียงใหม่
- มีทีมสถาปนิก วิศวกร และช่างครบทีม
- เข้าใจกฎหมายควบคุมอาคารและเทศบาล
- แสดงผลงานที่ผ่านมาได้ชัดเจน
- เสนอแบบและ BOQ ก่อนเริ่มงาน
- รับประกันงานหลังส่งมอบ
สรุป รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงใหม่ คืออะไร?
การรีโนเวทอาคารพาณิชย์ในเชียงใหม่ ไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเปลี่ยนอาคารเก่าให้กลายเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างมีสไตล์ ตั้งแต่โครงสร้าง การออกแบบภายนอก-ภายใน ไปจนถึงระบบไฟฟ้า ประปา และเทคโนโลยี
หากคุณกำลังมองหา ทีมมืออาชีพ ในการ รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงใหม่ อย่าลืมเลือกทีมงานที่เข้าใจพื้นที่เชียงใหม่จริง มีประสบการณ์ และให้คำแนะนำได้ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นจนส่งมอบงานเสร็จสมบูรณ์
24 August 2025
การสร้างอาคารพาณิชย์หน้ากว้างเพียง 4 เมตรในเชียงรายอาจดูเหมือนมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ แต่ด้วยการออกแบบที่ดีและการจัดการพื้นที่ภายในที่ชาญฉลาด ก็สามารถสร้างอาคารที่ครอบคลุมทั้งพื้นที่ขาย ปฏิบัติงาน และที่อยู่อาศัยชั้นบนได้อย่างครบฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า สำนักงาน หรือโฮมออฟฟิศ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางที่ดีที่สุดในการ รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงราย หน้ากว้าง 4 เมตร ตั้งแต่การวางสเปซภายใน วางระบบบันได การใช้ช่องแสงที่เหมาะสม ไปจนถึงโครงสร้างที่รองรับการใช้งานจริง หากออกแบบให้ดี โรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร หรือออฟฟิศขนาดเล็ก ก็สามารถจบในพื้นที่แคบอย่างสร้างสรรค์

1. บริบทของอาคารพาณิชย์หน้ากว้าง 4 เมตรในเชียงราย
- พื้นที่ใจกลางเมืองเชียงรายมักมีแปลงแคบลึก เหมาะกับอาคารพาณิชย์แนวสูง
- หน้ากว้าง 4 เมตร เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับการเช่าร้าน ร้านกาแฟ หรือสำนักงาน
- การออกแบบต้องตอบโจทย์ทั้งเรื่องการวางตำแหน่งบันได ช่องลม ช่องแสง และโครงสร้างให้มั่นคง
2. การจัดสเปซชั้นล่าง โซนธุรกิจหลัก
- บริเวณหน้าร้าน (Shop Front)
- ใช้พื้นที่ประมาณ 3–4 เมตรจากหน้ากว้าง 4 เมตร
- ใช้ผนังกระจกสูงเต็มเพื่อเพิ่มแสงสว่างและสร้างจุดดึงดูดสายตา
- วางเคาน์เตอร์บริเวณด้านหน้า พร้อมพื้นที่โชว์สินค้าได้อย่างเพียงพอ
- พื้นที่เตรียมงาน หรือ Stock ภายใน
- ลึกเข้ามาจากหน้าร้าน 6–8 เมตร จัดพื้นที่เก็บของหรือเตรียมงาน
- ใช้ชั้นวางเลื่อนเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่
- ปรับพื้นที่ได้ตามลักษณะธุรกิจ เช่น เตรียมหรือจัดโต๊ะร้านอาหารเล็ก ๆ
- โถงบันได และทางขึ้นชั้นบน
- วางบันไดแบบหักหมุน (L-shape หรือ U-shape) เพื่อประหยัดพื้นที่
- ใช้บันไดคอนกรีตหล่อในที่หรือบันไดเหล็กเพื่อความทนทาน
- ทิศทางบันไดควรไม่ปิดกั้นพื้นที่ใช้งานหลัก

3. การจัดสเปซชั้นบน โซนอยู่อาศัย / สำนักงาน
- ห้องทำงานหรือห้องนอนหลัก
- จัดหน้ากว้าง 4 เราควรแบ่งพื้นที่เป็นห้องหลักความลึก 5–6 เมตร
- ใช้หน้าต่างบานใหญ่ด้านหน้าหรือหลังเพื่อให้แสงธรรมชาติ
- การใช้ผนังเบา (Plasterboard) ช่วยปรับ Layout ภายหลังได้
- ห้องอเนกประสงค์ / Pantry / ห้องน้ำ
- พื้นที่ติดกันหรือหลังบันไดควรจัด Pantry เล็ก ๆ และห้องน้ำ 1 ห้องเพื่อความสะดวก
- ใช้สุขภัณฑ์ Compact และผนังโครงเหล็กสำหรับก่อเร็ว
- ระเบียงหรือช่องแสงหลังอาคาร
- หากพื้นที่ด้านหลังเหลือ ให้ทำระเบียงเล็กเพื่อระบายอากาศ
- เพิ่มประตู-หน้าต่างแบบบานเลื่อนเพื่อเปิดมุมมอง
4. ระบบบันได ควรวางอย่างไรให้หน้างานใช้งานได้จริง
- บันไดหักหมุนแบบ L-shape ใช้พื้นที่น้อย มีความสูงและระยะก้าวตามมาตรฐาน
- ความกว้างขั้นต่ำ 0.8 เมตร ระยะ Step 17 ซม. ความลึก 25 ซม. เพื่อความสะดวก
- ราวจับและแสงสว่างเพียงพอเพื่อความปลอดภัย
- พื้นบันไดหรือลูกกวาด ทำพื้นกันลื่น เช่น กระเบื้องกันลื่นหรือไม้เทียม
5. ช่องแสงและการระบายอากาศ
- จัดช่องแสงด้านหน้ากว้างเต็มสำหรับชั้นล่าง เพื่อความสว่าง
- ใช้ skylight ในพื้นที่บันไดหรือโถงสูงช่วยประหยัดไฟกลางวัน
- ช่องลมด้านข้าง (ถ้ามี) ช่วยระบายอากาศ ลดภาระเครื่องปรับอากาศ
- บริเวณห้องน้ำหรือแพนทรี ควรวางเครื่องดูดอากาศ (Exhaust Fan)

6. วัสดุและระบบโครงสร้างที่เหมาะกับอาคารหน้าแคบ
- โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป หรือโครงคอนกรีต (RC Frame) คานขนาดแคบ รองรับน้ำหนักดี
- ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปหรือ Precast ช่วยลดเวลา
- ฝ้าเพดานสูง 2.4–2.6 เมตร ให้ความรู้สึกโปร่ง และช่วยระบายความร้อน
7. ความคุ้มค่าและงบประมาณเบื้องต้น
ข้อ
ข้อมูล พื้นที่
หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12 เมตร (48 ตร.ม.) พื้นที่ใช้งาน
ชั้นล่าง – โซนขาย 4×6 ม. + ซอยหลัง 4×3 ม. + บันได โครงสร้าง โครงเหล็กหรือคอนกรีตช่วง 4 เมตร
งบประมาณประมาณต่อ ตร.ม. 20,000 – 30,000 บาท
งบรวม 2 ชั้น ประมาณ 2 – 3 ล้านบาท (ขึ้นกับสเปกวัสดุ)
8. จุดเด่นเมื่อใช้บริการ “รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงราย หน้ากว้าง 4 เมตร”
- รู้ทำเลเชียงราย – เข้าใจลักษณะถนน พื้นที่และภาพลักษณ์ท้องถิ่น
- ออกแบบตามกฎหมายท้องถิ่น – จัดผังตามระยะร่น เขื่อนน้ำฝน ฯลฯ
- ใช้วัสดุและระบบที่เหมาะสม – เช่น สำหรับอากาศเย็นสลับร้อนสลับหนาวในเชียงราย
- บริการครบจบในที่เดียว – แบบ สถาปัตย์ วิศวกรรม ติดตั้ง และรับรองเสร็จ
สรุป รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงราย คืออะไร?
การสร้างอาคารพาณิชย์หน้ากว้าง 4 เมตรในเชียงรายอาจดูเป็นโจทย์พื้นที่จำกัด แต่ด้วยการวางผังที่ชาญฉลาด เช่น การจัดพื้นที่ทั้งชั้นล่างและชั้นบนอย่างเหมาะสม การเลือกวัสดุโครงสร้างที่ตอบโจทย์ การวางระบบช่องแสง บันได และการออกแบบให้โปร่งและสว่าง การจัดการ และบริการแบบมืออาชีพจากผู้ให้บริการ รับสร้างอาคารพาณิชย์เชียงราย หน้ากว้าง 4 เมตร จะทำให้บ้านหรืออาคารพาณิชย์ของคุณ “ครบฟังก์ชันธุรกิจได้ในพื้นที่แคบ” อย่างมีประสิทธิภาพ
24 August 2025
กล้องกันน้ำเลือกยังไงสำหรับติดตั้งนอกอาคาร – คู่มือฉบับเจ้าของบ้านและธุรกิจ
ติดตั้งกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารกันน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าของบ้าน อาคารสำนักงาน หรือสถานประกอบการทุกประเภทที่ต้องการระบบรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเพื่อจับภาพหน้าบ้าน ลานจอดรถ รั้วรอบขอบชิด หรือพื้นที่โล่งภายนอก กล้อง CCTV ที่นำมาใช้งานต้อง ทนแดด ทนฝน และสามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ
บทความนี้จะช่วยคุณเลือกกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารกันน้ำได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมหัวข้อ เช่น มาตรฐาน IP66/IP67 การเลือกความละเอียดพิกเซล รูปแบบการติดตั้ง และฟีเจอร์ที่ควรมีในปี 2568

ทำไมต้องใช้กล้องวงจรปิดกันน้ำสำหรับภายนอกอาคาร
กล้องวงจรปิดทั่วไปมักออกแบบมาเพื่อใช้งานภายในอาคารเท่านั้น หากนำกล้องเหล่านี้ไปติดตั้งภายนอกโดยไม่ผ่านการป้องกัน จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น
- น้ำซึมเข้าตัวกล้องจนวงจรเสีย
- เลนส์มัวเมื่อเจอฝน/ความชื้น
- อุปกรณ์ภายในเสื่อมเร็วจากแสงแดดและฝุ่น
การใช้กล้องวงจรปิดแบบ กันน้ำและทนสภาพอากาศ ช่วยยืดอายุการใช้งาน และให้ภาพที่คมชัดตลอดเวลา แม้ในช่วงกลางคืนหรือวันที่ฝนตกหนัก
มาตรฐาน IP คืออะไร? IP66 / IP67 ต่างกันอย่างไร
หนึ่งในสิ่งที่ต้องดูเมื่อเลือกกล้องภายนอกคือ ค่ามาตรฐาน IP (Ingress Protection) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ระบุระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำ
มาตรฐาน
ความหมาย
IP66
กันฝุ่นได้ 100% กันน้ำที่ฉีดแรงดันสูงจากทุกทิศทาง
IP67
กันฝุ่นได้ 100% กันน้ำได้เมื่อจุ่มน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
สำหรับการติดตั้งกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารกันน้ำ ควรเลือก อย่างน้อย IP66 แต่ถ้าจุดติดตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำขัง น้ำท่วม หรือละอองน้ำแรง เช่น บริเวณริมทะเล โรงงาน หรือใต้หลังคาที่ไม่มีชายคา IP67 จะเหมาะสมกว่า

คุณสมบัติกล้องกันน้ำที่ควรมีสำหรับภายนอกอาคาร
1. ความละเอียดพิกเซลสูง (Resolution)
ภาพที่คมชัดมีความสำคัญอย่างยิ่งในงานรักษาความปลอดภัย แนะนำให้เลือกความละเอียด อย่างน้อย Full HD (1080p) และถ้าเป็นไปได้ ควรเลือก 2K หรือ 4K (Ultra HD) สำหรับพื้นที่กว้าง เช่น ลานจอดรถหรือรั้วบ้าน
- 2MP (1080p): ชัดพอสำหรับพื้นที่ทั่วไป
- 4MP – 5MP: ภาพคมชัดในระยะไกล
- 8MP (4K): เหมาะกับพื้นที่โล่ง กว้าง หรือจุดที่ต้องซูม
2. รองรับอินฟราเรด (IR) หรือ Night Vision
ควรมีกล้องที่สามารถมองเห็นได้ในที่มืด โดยมีระยะอินฟราเรดไม่ต่ำกว่า 20–30 เมตร และมีระบบ IR-Cut Filter ที่ช่วยให้ภาพกลางคืนไม่ฟุ้ง
3. ฟีเจอร์ WDR (Wide Dynamic Range)
ในพื้นที่ภายนอกที่มีแสงแดดสว่างจัดหรือเงาเยอะ เช่น หน้าบ้าน ริมถนน ฟีเจอร์ WDR ช่วยให้ภาพไม่มืดหรือจ้าเกินไป
4. การบันทึกและดูผ่านมือถือ
เลือกกล้องที่สามารถดูผ่านแอปได้ (เช่น Hik-Connect, EZVIZ, Imou, Dahua) และควรมีระบบ P2P / Cloud สำหรับดูผ่านมือถือได้จากทุกที่
5. ทนต่ออุณหภูมิและสภาพแวดล้อม
- ควรทนความร้อนสูงถึง 50–60°C และทนเย็นได้ถึง -20°C
- ตัวกล้องควรทำจากวัสดุอลูมิเนียมหรือโลหะเคลือบกันสนิม

จุดแนะนำในการติดตั้งกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารกันน้ำ
- หน้าบ้าน / ประตูรั้วหลัก – ควรใช้กล้องที่มีมุมมองกว้าง 90–120 องศา และมี IR Night Vision
- หลังบ้าน / ลานจอดรถ – ใช้กล้องที่มีระยะมองไกลและแสงอินฟราเรดแรง
- ข้างบ้าน / ทางเดินแคบ – ใช้กล้องเลนส์มุมแคบเพื่อจับภาพเฉพาะจุด
- พื้นที่โล่ง / สนามหญ้า – แนะนำใช้กล้องหมุนได้ (PTZ) หรือมีระบบซูม
- หลังคาหรือชายคาบ้าน – ต้องใช้กล้องที่มี IP67 เพราะน้ำอาจไหลย้อนจากหลังคา
ประเภทกล้องที่เหมาะกับภายนอก
ประเภท
คุณสมบัติ
Bullet Camera
ทรงกระบอก ชัดไกล ระบายความร้อนได้ดี เหมาะกับติดผนัง
Dome Camera (Outdoor)
ทรงโดม ติดแนบเพดาน สวยงาม เหมาะกับหน้าบ้าน
PTZ Camera
หมุนได้ ควบคุมผ่านแอป เหมาะกับลานกว้าง
Solar Camera
มีกล้อง+โซลาร์เซลล์ในตัว ติดตั้งง่ายไม่ต้องเดินสายไฟ
การเดินสายและติดตั้งกล้องภายนอก
- ควรใช้ สาย LAN Outdoor หรือสายกล้องกันน้ำ ที่ทนแดดและฝน
- ปลายสายเชื่อมเข้ากล่องกันน้ำ (Junction Box)
- ใช้เทปพันกันน้ำและซิลิโคนปิดรอยต่อทุกจุด
- ไม่ควรวางสายไฟโดนแดดหรือฝนโดยตรง

กล้องกันน้ำระบบไร้สายดีไหม?
กล้อง Wi-Fi สำหรับภายนอกมีข้อดีที่ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ แต่ควรคำนึงถึง:
- ต้องมี Wi-Fi สัญญาณแรงตรงจุดติดตั้ง
- ใช้พลังงานจากปลั๊กหรือ Solar Power
- อาจมีดีเลย์เล็กน้อย หากเน็ตไม่แรง
กล้องไร้สายเหมาะกับบ้านพักขนาดเล็ก หรือพื้นที่ที่เดินสายไฟยาก แต่หากต้องการเสถียรภาพสูง แนะนำเลือกแบบเดินสาย
ตัวอย่างกล้องวงจรปิดภายนอกที่นิยมในปี 2568
- Hikvision DS-2CE16D0T-IRP
- ความละเอียด 2MP
- มาตรฐาน IP66
- อินฟราเรด 20 เมตร
- Dahua HAC-HFW1200TLP-A
- ความละเอียด 2MP
- ไมโครโฟนในตัว
- IP67
- EZVIZ C3N
- Wi-Fi + LAN
- Full HD
- IP67 มี IR+ไฟ LED ช่วยสว่าง
- Imou Bullet 2E
- รองรับ Wi-Fi
- Night Vision, Human Detection
- IP67 ราคาประหยัด
ข้อควรระวังในการเลือกและติดตั้งกล้องภายนอก
- ตรวจสอบค่ามาตรฐาน IP จริง (บางกล้องราคาถูกอาจแอบอ้าง)
- หลีกเลี่ยงการซื้อกล้องปลอม หรือไม่มีแอปสนับสนุน
- อย่าติดกล้องในตำแหน่งที่โดนแสงแดดโดยตรงตลอดทั้งวัน
- เปลี่ยนรหัสผ่านกล้องทันทีหลังการติดตั้ง
- หมั่นตรวจสอบภาพและความชัดเป็นประจำ (เดือนละครั้ง)
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการติดตั้ง
รายการ
ราคาประมาณ
กล้องภายนอกมาตรฐาน IP66 (2MP)
1,200 – 2,500 บาท
กล้อง IP67 (4MP – 4K)
2,500 – 5,000 บาท
ค่าติดตั้งกล้อง (รวมสายและอุปกรณ์)
800 – 1,500 บาท/ตัว
ระบบ NVR 4 CH + HDD
3,000 – 5,000 บาท
ราคาจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนกล้องและระยะทางในการเดินสาย
สรุป กล้องกันน้ำเลือกยังไงสำหรับติดตั้งนอกอาคาร
การ ติดตั้งกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารกันน้ำ จำเป็นต้องเลือกกล้องที่ผ่านมาตรฐาน IP66 หรือ IP67 เพื่อให้สามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ ฟีเจอร์ที่ควรมีเพิ่มเติมคือ ความละเอียดสูง อินฟราเรดกลางคืน รองรับแอปมือถือ และวัสดุตัวกล้องทนสภาพแวดล้อม
อย่าลืมเลือกติดตั้งกล้องในตำแหน่งที่เหมาะสมกับจุดเสี่ยงของบ้านหรือสถานประกอบการ และตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยของคุณและทรัพย์สินในระยะยาว
หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการติดตั้งกล้องวงจรปิดภายนอกอาคารที่เชี่ยวชาญ พร้อมรับประกันคุณภาพและมีบริการหลังการขาย อย่าลังเลที่จะขอใบเสนอราคา หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
22 August 2025
ในอดีต ระบบกล้องวงจรปิดหรือ CCTV เป็นเพียงอุปกรณ์บันทึกภาพ เพื่อย้อนดูเหตุการณ์ย้อนหลังเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลกว่านั้น ด้วยการผสานระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ภาพและตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติแบบเรียลไทม์
หนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของ CCTV ที่ใช้ AI คือ การตรวจจับบุคคล และลดการแจ้งเตือนผิดพลาด (False Alarm) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ระบบกล้องเฝ้าระวังมีความแม่นยำขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น และลดภาระของผู้ดูแลระบบได้มาก

CCTV แบบเดิมมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
กล้องวงจรปิดที่ไม่มีระบบ AI มักใช้การตรวจจับจากการเคลื่อนไหว (Motion Detection) ซึ่งถึงแม้จะพอใช้งานได้ แต่มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น
- แจ้งเตือนผิดพลาดบ่อยครั้ง เช่น ใบไม้ปลิว แมวเดินผ่าน หรือแสงเปลี่ยน ทำให้กล้องส่งสัญญาณเตือนทั้งที่ไม่ใช่ภัยคุกคาม
- ไม่มีการแยกประเภทวัตถุ ไม่สามารถแยกได้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวคือ “คน”, “รถ”, หรือ “สัตว์”
- ต้องใช้คนตรวจสอบเองตลอดเวลา หากระบบมีการแจ้งเตือนบ่อย ก็ต้องมีคนมานั่งดูว่าจริงหรือไม่
ข้อจำกัดเหล่านี้นำไปสู่ต้นทุนสูง และความไม่มั่นใจในระบบ

CCTV AI ช่วยลดการแจ้งเตือนผิดพลาดยังไง?
ระบบ CCTV ที่มี AI ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องด้วยเทคโนโลยี Machine Learning และ Computer Vision ซึ่งช่วยให้กล้องสามารถ “เข้าใจ” ภาพที่เห็นได้ใกล้เคียงกับมนุษย์
ฟีเจอร์เด่นของ CCTV AI:
- ตรวจจับบุคคล (Human Detection)
- กล้องสามารถแยกแยะว่า สิ่งที่ปรากฏในภาพคือ “คน” จริง ๆ
- ป้องกันการแจ้งเตือนเมื่อมีเพียงสัตว์หรือวัตถุที่ไม่ใช่คนเคลื่อนไหว
- แจ้งเตือนเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคาม
- เมื่อมีคนเข้าพื้นที่ต้องห้ามในเวลากลางคืน หรือพื้นที่หวงห้าม กล้องจะส่งสัญญาณเตือนอัตโนมัติ
- ลดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เช่น ฝนตก, แสงไฟกระพริบ, ใบไม้พริ้ว
- ฟังก์ชันวิเคราะห์พฤติกรรม
- บางรุ่นสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคลได้ เช่น ยืนอยู่กับที่นานผิดปกติ, เดินวนไปมา
- เหมาะสำหรับการเฝ้าระวังพื้นที่สาธารณะ โรงงาน หรือสำนักงาน
- ระบบ AI เรียนรู้พฤติกรรมปกติของพื้นที่
- กล้องสามารถเรียนรู้กิจวัตร เช่น มีคนเดินผ่านประตูในช่วงเวลาใด และจะส่งแจ้งเตือนเฉพาะเมื่อมีสิ่งผิดปกติ
- กล้องสามารถเรียนรู้กิจวัตร เช่น มีคนเดินผ่านประตูในช่วงเวลาใด และจะส่งแจ้งเตือนเฉพาะเมื่อมีสิ่งผิดปกติ
ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่ AI ช่วยลด False Alarm
- กล้องที่ติดตั้งริมถนนหน้าบ้าน: กล้องทั่วไปอาจแจ้งเตือนทุกครั้งที่รถผ่าน แต่กล้อง AI จะตั้งค่าให้แจ้งเตือนเฉพาะเมื่อมีบุคคลเดินเข้าบริเวณประตูรั้ว
- โกดังสินค้าขนาดใหญ่: กล้องอาจอยู่ในจุดที่มีเงาและแมลงบินผ่านบ่อย แต่ระบบ AI จะไม่สนใจวัตถุที่ไม่ใช่คนหรือรถยนต์
- พื้นที่เปลี่ยวในเวลากลางคืน: กล้อง AI สามารถแยกได้ว่าเงาดำที่เคลื่อนไหวคือสัตว์ หรือมนุษย์ที่อาจบุกรุก
ผลลัพธ์คือ ผู้ดูแลระบบได้รับการแจ้งเตือนน้อยลง แต่แม่นยำมากขึ้น

เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพที่อยู่เบื้องหลัง CCTV AI
- Object Detection Algorithm
- เช่น YOLO (You Only Look Once), SSD, Faster R-CNN
- ใช้ตรวจจับวัตถุในภาพ และจัดหมวดหมู่ว่าคือ คน รถ หรือสิ่งของอื่น
- Face Recognition
- ระบบบางรุ่นสามารถจดจำใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลพนักงาน ลูกบ้าน หรือบุคคลต้องสงสัย
- Heat Mapping / Line Crossing
- ระบบ AI จะวิเคราะห์เส้นทางการเดินหรือจุดที่มีความเคลื่อนไหวสูง ช่วยในงานจัดการพื้นที่ และความปลอดภัย
- License Plate Recognition (LPR)
- ใช้ในระบบ AI สำหรับตรวจจับป้ายทะเบียนรถที่ผ่านเข้าออก
กล้อง AI แบบไหนเหมาะกับใคร?
ประเภทผู้ใช้งาน คำแนะนำ บ้านพักอาศัย กล้อง AI แบบ Human Detection พร้อมแจ้งเตือนผ่านมือถือ ออฟฟิศขนาดเล็ก กล้องที่มีฟังก์ชันแจ้งเตือนและจัดเก็บใน Cloud โรงงาน/โกดัง กล้อง AI แบบ PoE ความละเอียดสูง รองรับ LPR และพฤติกรรมบุคคล หอพัก/คอนโด กล้อง AI ที่เชื่อมต่อกับระบบ Face Recognition และระบบเข้าออก ราคากลางของกล้อง CCTV AI ในปัจจุบัน
รายการ ราคาประมาณ (บาท) กล้อง IP แบบมี AI (2MP–5MP) 2,800 – 7,000 NVR รองรับ AI + HDD 1TB 6,000 – 15,000 กล้อง LPR อ่านทะเบียน 9,000 – 20,000 ค่าติดตั้ง + วางระบบ 5,000 – 20,000 (ขึ้นกับจำนวนกล้องและระยะสาย) รวมระบบพื้นฐาน 4 กล้อง AI + NVR + ติดตั้ง จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 – 45,000 บาท

ข้อดีของการใช้ CCTV AI แทนกล้องแบบเดิม
- ลดภาระเจ้าหน้าที่ดูภาพ ไม่ต้องตรวจสอบทุกแจ้งเตือน
- ลดต้นทุนด้านแรงงานระยะยาว แม้มีค่าเริ่มต้นสูงกว่า
- เพิ่มความปลอดภัยเชิงรุก เช่น แจ้งเตือนบุคคลต้องสงสัยทันที
- ใช้งานผ่านมือถือได้ทันทีแบบ Smart Notification
ข้อควรรู้ก่อนติดตั้งระบบ CCTV AI
- ระบบ AI ต้องมีการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นระยะ เพื่อรักษาความแม่นยำ
- พื้นที่ที่มีเงา หรือแสงน้อย ควรใช้กล้องที่มี IR คุณภาพดี ร่วมกับ AI
- ควรเลือกอุปกรณ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ เช่น Hikvision, Dahua, Uniview หรือกล้องระบบ AI จากระบบ Cloud เช่น Google Nest, Arlo AI
- เปรียบเทียบการประมวลผล AI แบบในตัวกล้อง (Edge AI) และ AI ที่อยู่ใน Server ซึ่งมีข้อดีแตกต่างกัน
สรุป CCTV AI ช่วยลดการแจ้งเตือนผิดพลาดยังไง?
คำตอบคือ CCTV AI ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพขั้นสูงเพื่อแยกแยะ “ภัยจริง” ออกจาก “สัญญาณหลอก” ทำให้ระบบเฝ้าระวังมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ช่วยลดภาระเจ้าของบ้าน ผู้ดูแลระบบ และเพิ่มความปลอดภัยได้จริง
หากคุณกำลังมองหาระบบกล้องวงจรปิดที่ไม่ใช่แค่บันทึกภาพ แต่ช่วยคุณตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ระบบ CCTV AI คือคำตอบในยุคปัจจุบัน
21 August 2025
ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างทั่วไป การออกแบบระบบไฟฟ้าถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับ “โรงพยาบาล” ระบบไฟฟ้าคือหัวใจหลักที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถให้ระบบไฟฟ้าหยุดทำงานได้แม้เพียงวินาทีเดียว เพราะเครื่องมือแพทย์ส่วนใหญ่ต้องใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย ระบบทำความเย็น และระบบสื่อสารภายใน
การ ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลาง จึงไม่ใช่เพียงการคำนวณโหลดไฟฟ้าให้เพียงพอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมระบบสำรอง, สายพ่วง, และแผนรองรับฉุกเฉินที่พร้อมใช้งานในทันทีหากแหล่งจ่ายหลักขัดข้อง บทความนี้จะพาคุณเข้าใจแนวทางการวางแผนระบบไฟฟ้าสำหรับโรงพยาบาลอย่างถูกต้องและปลอดภัย

ทำไม ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาล ห้ามดับ
- เครื่องมือแพทย์ต้องใช้ไฟฟ้าต่อเนื่อง
เช่น เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องฟอกไต, เครื่องเอกซเรย์ ฯลฯ ที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้
- ระบบห้องผ่าตัด ระบบ ICU และระบบปลอดเชื้อ
ห้องเหล่านี้มีระบบปรับอากาศและฆ่าเชื้อที่ต้องทำงานตลอดเวลา หากไฟดับอาจเกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยทันที
- ระบบไอทีและเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์
ข้อมูลผู้ป่วยอยู่บนระบบดิจิทัล ต้องมีแหล่งจ่ายไฟที่เสถียรเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา
- ระบบรักษาความปลอดภัย
กล้องวงจรปิด, ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้, ระบบควบคุมประตู ต้องทำงานได้แม้ในกรณีฉุกเฉิน

ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลางต้องพิจารณาอะไรบ้าง
โรงพยาบาลขนาดกลาง (100-300 เตียง) ต้องการระบบไฟฟ้าที่เสถียรและมีการจัดหมวดหมู่โหลดไฟอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนโหลดทั่วไป และโหลดฉุกเฉิน ดังนั้นการ ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลาง จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องหลัก ๆ ดังนี้
1. แหล่งจ่ายไฟหลัก (Main Power Supply)
โรงพยาบาลควรได้รับไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายแรงสูงของการไฟฟ้า เช่น 22kV หรือ 33kV จากนั้นแปลงลงมาเป็นแรงต่ำผ่านหม้อแปลง (Transformer) ในระดับ 400/230V สำหรับใช้งานทั่วไปในโรงพยาบาล
อุปกรณ์ที่จำเป็นในแหล่งจ่ายหลัก
- หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเหมาะสม (แนะนำมี 2 ชุด + ระบบสลับอัตโนมัติ)
- ตู้ควบคุมเมนไฟฟ้า (MDB)
- สายไฟแรงสูงพร้อมระบบดินและสายกราวด์
- เครื่องป้องกันไฟเกิน/ไฟตก/ไฟกระชาก
2. ระบบสำรองไฟฟ้า (Standby/Backup System)
เป็นหัวใจของการ ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลาง โดยจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ:
2.1 เครื่องปั่นไฟสำรอง (Generator)
เมื่อไฟหลักดับ เครื่องปั่นไฟจะทำงานทันทีภายใน 10–15 วินาที รองรับโหลดฉุกเฉิน เช่น ห้อง ICU, OPD, ห้องผ่าตัด, แสงสว่างฉุกเฉิน, ระบบอัคคีภัย
แนวทางเลือกเครื่องปั่นไฟ
- ขนาดตามโหลดฉุกเฉิน (เช่น 500 kVA)
- ระบบ Auto Transfer Switch (ATS)
- ควรมีน้ำมันสำรองขั้นต่ำ 8–12 ชม.
2.2 ระบบ UPS (Uninterruptible Power Supply)
ใช้จ่ายไฟต่อเนื่องในระยะสั้น (ไม่เกิน 15 นาที) ก่อนเครื่องปั่นไฟเริ่มทำงาน เพื่อให้เครื่องมือแพทย์และระบบคอมพิวเตอร์ไม่สะดุด
- รองรับอุปกรณ์ที่ไวต่อไฟตก เช่น Server, เครื่องวัดชีพจร, Monitoring
2.3 แผงสลับโหลด (ATS + Manual)
สำหรับแยกโหลดประเภทสำคัญออกจากโหลดทั่วไป พร้อมระบบสลับอัตโนมัติระหว่างไฟหลัก-สำรอง

ระบบสายไฟและสายพ่วงในโรงพยาบาล
ระบบสายไฟในโรงพยาบาลต้องจัดการแยกเป็นหมวดชัดเจน พร้อมออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัยสูง เช่น IEC, NEC หรือ มยผ. การติดตั้ง สายพ่วง และรางไฟต้องไม่รบกวนการใช้งานของบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์
การจัดระบบสายไฟควรคำนึงถึง:
- สายไฟทนความร้อน/ไฟฟ้ารั่ว: เช่น XLPE, NYY, VAF
- สายดินต่อทุกอุปกรณ์: ตามระบบ TT หรือ TN-S
- รางเดินสายปลอดเชื้อ: โดยเฉพาะในห้องปลอดเชื้อ
- แยกสายโหลดธรรมดา – โหลดฉุกเฉิน
- ติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์ย่อย: พร้อมแผงควบคุมทุกชั้น
ชุดระบบไฟฟ้าเริ่มต้นสำหรับโรงพยาบาลขนาดกลาง
รายการ
จำนวน / รายละเอียด ราคาประมาณ หม้อแปลงไฟฟ้า 1,000 kVA
2 ชุด 2,000,000 บาท ตู้ MDB + Panel ย่อย
1 ชุดหลัก + 5 ย่อย 800,000 บาท
เครื่องปั่นไฟ 500–700 kVA
1 ชุด + ATS 1,500,000 บาท
ระบบ UPS 50–100 kVA
Server Room / ICU 600,000 บาท
สายไฟ + รางเดินสาย
3 เฟส / สายดิน 500,000 บาท
เซอร์กิตเบรกเกอร์ (MCB, MCCB, RCBO)
ครบทุกโหลด 300,000 บาท
งานติดตั้งระบบ
ทั้งโครงการ 700,000 บาท
อื่น ๆ (สายพ่วง, ราง, ปลั๊ก) 300,000 บาท
รวมประมาณการ 6,700,000 บาท
ราคาข้างต้นเป็นค่าเฉลี่ยเบื้องต้น อาจเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่และขนาดโรงพยาบาล

แนวทางการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาล
แม้ระบบจะออกแบบมาดีเพียงใด หากไม่มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจเกิดปัญหาได้ ดังนั้นโรงพยาบาลควรมีแนวทางการบำรุงรักษา ได้แก่:
- ตรวจสอบเครื่องปั่นไฟเดือนละ 1 ครั้ง
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ฟิลเตอร์ทุก 6 เดือน
- ตรวจสอบระบบ UPS ทุกไตรมาส
- ตรวจเช็คโหลดไฟฟ้าผิดปกติผ่าน Smart Monitoring
- ทดสอบระบบ ATS เดือนละครั้ง
- ตรวจสอบสายไฟ สายพ่วง ปลั๊ก และ MCB ทุกปี
สรุป ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลาง คืออะไร?
ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลไม่ใช่เพียงแค่ให้แสงสว่างหรือเปิดแอร์ แต่คือชีวิตของผู้ป่วยทุกคน การ ออกแบบระบบไฟฟ้าโรงพยาบาลขนาดกลาง จึงต้องวางแผนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่แหล่งจ่ายหลัก ระบบสำรอง สายไฟ ระบบ UPS ไปจนถึงระบบบำรุงรักษา
โดยมีหัวใจสำคัญคือ ห้ามให้โรงพยาบาลขาดแหล่งจ่ายไฟแม้เพียงวินาทีเดียว เพราะผลลัพธ์คือความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์
หากโรงพยาบาลของคุณอยู่ในช่วงวางแผน หรืออยู่ระหว่างการรีโนเวทระบบไฟฟ้า การร่วมมือกับ วิศวกรไฟฟ้ามืออาชีพ และบริษัทรับเหมาที่มีประสบการณ์เฉพาะทางในงานระบบไฟฟ้าอาคารสาธารณสุข จะช่วยให้ ระบบไฟฟ้า ทั้งหมดของโรงพยาบาลคุณ ทำงานได้เสถียร ปลอดภัย และรองรับการเติบโตในอนาคตได้อย่างมั่นคง
21 August 2025
บ้านชั้นเดียวเป็นรูปแบบบ้านที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ทั้งจากเจ้าของบ้านใหม่ ผู้สูงอายุ ไปจนถึงครอบครัวขนาดเล็ก ด้วยความสะดวกในการใช้งาน ไม่มีบันไดให้กังวล และง่ายต่อการดูแลรักษา
อย่างไรก็ตาม บ้านชั้นเดียวมักมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะการถูกบุกรุกจากประตูหรือหน้าต่างที่อยู่ในระดับเดียวกับพื้นดิน การติดตั้งกล้องวงจรปิดจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยของบ้านอย่างได้ผล
บทความนี้จะแนะนำ 5 จุดสำคัญสำหรับการติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว ให้ครอบคลุม ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด พร้อมเทคนิคการเลือกกล้อง การวางตำแหน่ง และข้อควรรู้สำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการป้องกันปัญหาก่อนเกิดเหตุ

ทำไมบ้านพักชั้นเดียวต้องติดตั้งกล้องวงจรปิด
- บ้านชั้นเดียวเข้าถึงง่าย : โจรสามารถเข้าทางหน้าต่างหรือประตูหลังได้โดยไม่ต้องปีน
- เจ้าของบ้านไม่อยู่ตลอดเวลา : คนส่วนใหญ่ออกไปทำงานกลางวัน กล้องสามารถช่วยสอดส่องแทนได้
- ช่วยบันทึกเหตุการณ์ย้อนหลัง : หากเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น ขโมยเข้าบ้าน หรือของหาย
- ดูแลคนในบ้านจากระยะไกล : เช่น ลูกเล็ก คนชรา หรือสัตว์เลี้ยง
การวางระบบกล้องวงจรปิดให้ถูกตำแหน่งจะช่วยให้คุณได้ภาพที่ชัดเจน ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น

5 จุดสำคัญในการติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว
1. หน้าประตูบ้าน (ทางเข้าหลัก)
จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของบ้าน เพราะเป็นทางเข้าออกที่คนส่วนใหญ่ใช้ หากมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้น ภาพจากจุดนี้จะช่วยระบุตัวผู้บุกรุกหรือแขกแปลกหน้าได้ดีที่สุด
คำแนะนำในการติดตั้ง
- ติดกล้องให้เห็นทั้งประตูและพื้นที่รอบ ๆ ประตู
- ใช้กล้องที่มีความละเอียดสูง (อย่างน้อย 2MP)
- เลือกกล้องที่มีฟังก์ชันตรวจจับใบหน้า (Face Detection) หรือสัญญาณเตือน
ตำแหน่งแนะนำ
- ติดบริเวณเหนือประตูหน้าบ้าน หรือมุมระเบียงหน้าบ้าน
- ความสูงประมาณ 2.5–3 เมตร เพื่อป้องกันการถูกทำลาย
2. ประตู/ทางเข้าด้านหลังบ้าน
ประตูหลังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่คนร้ายมักเลือกใช้ทางนี้ในการบุกรุกเพราะพ้นสายตาเพื่อนบ้าน
คำแนะนำในการติดตั้ง
- เลือกกล้องอินฟราเรด (IR) สำหรับดูตอนกลางคืน
- ติดให้เห็นทั้งบานประตูและทางเดินโดยรอบ
- หากบ้านติดรั้วหลัง ควรให้กล้องจับภาพแนวรั้วด้วย
ตำแหน่งแนะนำ
- เหนือประตูหรือกรอบประตูด้านใน
- หันกล้องให้ครอบคลุมทั้งประตูและรั้วด้านหลัง
3. ข้างบ้าน (แนวกำแพงและหน้าต่าง)
หน้าต่างที่อยู่ติดรั้วหรือแนวกำแพงมักเป็นช่องทางที่ถูกใช้ในการบุกรุกโดยง่าย โดยเฉพาะถ้าตัวบ้านชั้นเดียวไม่มีระเบียงหรือกันสาดยื่นออกมา
คำแนะนำในการติดตั้ง
- ติดกล้องบริเวณมุมบ้านเพื่อให้ครอบคลุมแนวยาวของผนัง
- ใช้กล้องมุมกว้าง (Wide-angle) เพื่อเห็นทั้งผนังและทางเดิน
- พิจารณาติดทั้งสองฝั่งของบ้านหากมีพื้นที่รอบบ้านครบทุกด้าน
ตำแหน่งแนะนำ
- มุมบ้านหรือเสาใกล้หน้าต่าง
- หันกล้องตามแนวผนัง ไม่ติดตรงหน้าต่างโดยตรงเพราะจะเห็นเพียงจุดเดียว
4. ประตู/ทางเข้าสำรอง (เช่น ประตูข้างครัว)
บ้านชั้นเดียวมักมีทางเข้าย่อย เช่น ประตูจากห้องครัวหรือห้องซักผ้า ซึ่งคนร้ายสามารถเข้าถึงได้ง่าย
คำแนะนำในการติดตั้ง
- ติดกล้องที่สามารถเห็นคนเข้าหรือแอบผ่านทางนี้ได้ชัดเจน
- ตรวจสอบมุมกล้องให้ได้ภาพทั้งกลางวันและกลางคืน
- พิจารณากล้องแบบกันน้ำ (IP66 ขึ้นไป) เพราะส่วนมากจุดนี้จะอยู่กลางแจ้ง
ตำแหน่งแนะนำ
- เหนือประตูทางเข้าย่อย ติดด้านในของชายคาหรือกรอบหลังคา
5. หน้าบ้าน / โรงจอดรถ / ทางเข้าออกยานพาหนะ
จุดนี้ไม่เพียงแต่ใช้ตรวจสอบการจอดรถเท่านั้น แต่ยังใช้ติดตามการเคลื่อนไหวรอบรั้วหน้าบ้าน เช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์ผ่าน พัสดุถูกทิ้งไว้หน้าบ้าน หรือเด็กเล่นอยู่หน้าบ้าน
คำแนะนำในการติดตั้ง
- ใช้กล้อง Outdoor ทนแดดทนฝน
- ติดตั้งกล้องสูงระดับ 3–4 เมตร เพื่อป้องกันการขโมยกล้อง
- หากมีโรงรถควรติดกล้องเพิ่มอีกตัวในโรงรถด้วย
ตำแหน่งแนะนำ
- หันกล้องลงจากมุมหลังคาเหนือรั้ว
- หันเข้าไปยังพื้นที่จอดรถและทางเดินหน้าบ้าน

เทคนิคเลือกกล้องวงจรปิดสำหรับบ้านชั้นเดียว
- ความละเอียดของภาพ
- แนะนำกล้องความละเอียดขั้นต่ำ 2MP (1080p) เพื่อดูใบหน้า ทะเบียนรถได้ชัดเจน
- หากงบสูงขึ้นไป เลือกแบบ 4MP หรือ 4K
- กล้องกลางวัน-กลางคืน
- ใช้กล้อง IR Night Vision เพื่อให้มองเห็นในที่มืด
- ดูระยะของอินฟราเรด เช่น 20 เมตร หรือ 30 เมตร
- กล้องแบบมีเสียง
- สำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการฟังเสียงรอบบ้าน เช่น มีเสียงแตกหรือเรียกหน้าบ้าน
- กล้องที่ดูผ่านมือถือ
- ควรเลือกกล้องที่รองรับแอปบนสมาร์ตโฟนทั้ง iOS และ Android
- ดูย้อนหลังได้สะดวก
- กล้องแบบไร้สายหรือเดินสาย
- แบบเดินสายจะเสถียรกว่าในระยะยาว
- แบบไร้สายสะดวกในการติดตั้ง แต่ต้องมี Wi-Fi ที่ครอบคลุม
ข้อควรรู้ก่อนติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว
- อย่าติดกล้องตรงตำแหน่งที่ถูกแสงแดดโดยตรง เพราะจะทำให้ภาพย้อนแสง
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากล้องอยู่ในตำแหน่งที่ไม่โดนต้นไม้หรือวัสดุอื่นบัง
- วางระบบบันทึก (NVR/DVR) ไว้ในที่ปลอดภัย ป้องกันถูกทำลายหลักฐาน
- หากมีพื้นที่กว้าง อาจต้องใช้กล้องหลายตัวเชื่อมต่อในระบบเดียวกัน
งบประมาณติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว
รายการ
ราคาโดยประมาณ กล้อง IP 2MP พร้อมติดตั้ง
2,500 – 4,000 บาท/ตัว กล้อง IR พร้อม Night Vision
3,000 – 5,000 บาท/ตัว
เครื่องบันทึก NVR + HDD 1TB 5,000 – 10,000 บาท
ค่าเดินสายไฟ / อุปกรณ์เสริม 50 – 100 บาท/เมตร
รวมค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสำหรับบ้านชั้นเดียว (5 จุดติดตั้ง) ประมาณ 25,000 – 40,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและฟีเจอร์กล้อง
สรุป การติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว เป็นอย่างไร?
การติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านพักชั้นเดียว เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับบ้านที่ไม่มีรั้วสูง หรือมีพื้นที่รอบบ้านที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงได้ง่าย การเลือกตำแหน่งกล้องทั้ง 5 จุดที่กล่าวมา จะช่วยให้คุณครอบคลุมพื้นที่สำคัญและสร้างความอุ่นใจให้เจ้าของบ้านได้ในระยะยาว
หากคุณกำลังวางแผน ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด บ้านพักชั้นเดียว อย่าลืมปรึกษาช่างที่มีประสบการณ์ และขอใบเสนอราคาจากหลายผู้ให้บริการเพื่อนำมาเปรียบเทียบทั้งราคาและคุณภาพก่อนตัดสินใจ
20 August 2025
ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนน ภายในโครงการจัดสรรอย่างมืออาชีพ
ในยุคที่ความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของโครงการจัดสรรเป็นสิ่งสำคัญ ระบบแสงสว่างถนนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ให้แสง” เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างความน่าอยู่ ความปลอดภัย การลดอาชญากรรม รวมถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ บทความนี้จะเจาะลึกทุกประเด็นที่เกี่ยวกับ การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนภายในโครงการจัดสรร ตั้งแต่การเลือกประเภทหลอดไฟ การวางระบบท่อร้อยสาย การคำนวณตำแหน่งไฟ ไปจนถึงความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาว

ทำไมโครงการจัดสรรถึงต้องมีระบบไฟฟ้าส่องสว่างที่ได้มาตรฐาน
ระบบไฟถนนในโครงการจัดสรรมีบทบาทสำคัญในการ
- เพิ่มความปลอดภัยในเวลากลางคืน
- ป้องกันอุบัติเหตุในทางเดินและถนนส่วนกลาง
- เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโครงการ (ทั้งต่อผู้ซื้อและผู้ลงทุน)
ดังนั้น การออกแบบและ ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนภายในโครงการจัดสรร จึงควรวางแผนโดยวิศวกรที่เชี่ยวชาญ มีการประเมินค่าใช้จ่ายระยะยาว และเลือกเทคโนโลยีหลอดไฟที่เหมาะสมกับพื้นที่จริง

ประเภทหลอดไฟถนนที่นิยมใช้ในโครงการจัดสรร
1. หลอดไฟ LED (Light Emitting Diode)
หลอดไฟ LED กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับโครงการใหม่ ๆ เนื่องจากข้อดีหลายประการ เช่น
- ประหยัดพลังงานมากกว่าโซเดียมถึง 40-60%
- อายุการใช้งานนานกว่า (มากกว่า 50,000 ชั่วโมง)
- เปิดติดทันที ไม่ต้องรออุ่นหลอด
- แสงไม่ส้มจัด มองเห็นได้สบายตากว่า
- ลดภาระในการบำรุงรักษา
ข้อเสีย: ราคาหลอดและโคมสูงกว่าแบบโซเดียม แต่ชดเชยได้ด้วยค่าไฟและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าในระยะยาว
2. หลอดโซเดียม (High Pressure Sodium – HPS)
หลอดโซเดียมเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยม โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการและโครงการเก่าหลายแห่ง
- ให้แสงสีส้ม เหมาะสำหรับพื้นที่ถนนที่ไม่ต้องการแสงเย็น
- ราคาหลอดและโคมต่ำ
- ให้ลูเมนต่อวัตต์สูง (ความสว่างดีเมื่อเทียบกับพลังงานที่ใช้)
ข้อเสีย:
- ใช้พลังงานมากกว่า LED
- อายุหลอดสั้นกว่า
- ต้องใช้บัลลาสต์และระบบจุดติดเฉพาะทาง
- ไม่เหมาะกับระบบควบคุมแสงอัจฉริยะ

การวางตำแหน่งไฟถนนให้มีประสิทธิภาพ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการ ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนภายในโครงการจัดสรร คือ การกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้แสงกระจายอย่างทั่วถึง โดยหลักที่ใช้วางไฟถนนมีดังนี้:
1. ระยะห่างระหว่างเสาไฟ
- สำหรับถนนหลักภายในโครงการ ระยะห่างระหว่างเสาไฟประมาณ 25–30 เมตร
- สำหรับซอยย่อย ประมาณ 20 เมตร
- แนะนำให้ติดตั้งสลับฟันปลา เพื่อให้แสงครอบคลุมเต็มพื้นที่
2. ความสูงของเสาไฟ
- เสาสูง 6 เมตร ใช้ในซอยย่อย
- เสาสูง 8 เมตร ใช้ในถนนหลัก หรือถนนที่มีต้นไม้ใหญ่
- เสาสูง 10 เมตรขึ้นไป ใช้เฉพาะพื้นที่พิเศษ เช่น ลานจอดรถ หรือถนนกว้าง
3. มุมก้มของโคมไฟ
ควรมีการปรับมุมก้มของโคมให้แสงไม่สาดเข้าบ้านหรือหน้าต่างของผู้อยู่อาศัย และไม่รบกวนสายตาผู้ขับขี่
การเดินสายไฟฟ้าสำหรับไฟถนนในโครงการ
การวางระบบสายไฟและท่อร้อยสายเป็นอีกจุดที่ต้องวางแผนอย่างรัดกุม เพื่อความปลอดภัยและการบำรุงรักษาในอนาคต
1. ระบบท่อร้อยสาย
ท่อร้อยสายใต้ดิน (PVC หรือ HDPE) เป็นที่นิยมในโครงการจัดสรรสมัยใหม่ เพราะดูเรียบร้อย ไม่เกะกะ และปลอดภัยจากการชนของรถ
- ท่อ EMT / IMC (บนดิน) ใช้เฉพาะในบางจุด หรือบริเวณควบคุม
2. ประเภทสายไฟ
- ควรใช้สาย NYY หรือ VAF ที่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันความร้อน และมีฉนวนหุ้มสองชั้น
- ต้องวางสายให้ลึกไม่น้อยกว่า 60 ซม. ใต้ระดับผิวถนน
3. ระบบควบคุมไฟ
- เปิด-ปิดด้วย Timer หรือ Photo Sensor
- ระบบ Smart Lighting ควบคุมด้วยแอป หรือศูนย์ควบคุมกลาง

การเลือกโคมไฟถนนที่เหมาะกับโครงการจัดสรร
ปัจจัยในการเลือกโคมไฟ
- ระดับความสว่าง (ลูเมน)
ถนนหลัก: 6,000–12,000 ลูเมน
ซอยย่อย: 3,000–6,000 ลูเมน - วัสดุของโคม
ควรใช้อลูมิเนียมหล่อ หรือโพลีคาร์บอเนต ที่ทนความร้อนและ UV
- รูปลักษณ์
หากโครงการเน้นภาพลักษณ์ ควรเลือกโคมตกแต่งสไตล์โมเดิร์น หรือโคมไฟทรงโบราณ (Antique) สำหรับโครงการบ้านสไตล์ยุโรป
ตัวอย่างแนวทางการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนในโครงการจัดสรร
พื้นที่
ความสูงเสา ระยะห่าง หลอดที่ใช้ วิธีเดินสาย ถนนหลักโครงการ
8 เมตร 25 เมตร LED 100W ท่อ HDPE ฝังดิน
ซอยย่อย
6 เมตร 20 เมตร LED 60W ท่อ PVC ร้อยสาย
จุดกลับรถ / หน้าสวน 10 เมตร
ตามความเหมาะสม LED Floodlight เดินสายเฉพาะจุด ข้อควรระวังในการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนน
- อย่าลืมขออนุญาตก่อสร้าง/รื้อถอนระบบจากหน่วยงานท้องถิ่น
- การเดินสายใต้ดินต้องผ่านการวางแผนจากวิศวกรไฟฟ้า
- ตรวจสอบการ Ground ระบบไฟให้ครบ ป้องกันไฟรั่ว
- ควรมีตารางบำรุงรักษาและเปลี่ยนหลอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจสอบให้ระบบควบคุมเปิด-ปิดไฟทำงานอัตโนมัติและตรงเวลา
สรุป ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนภายในโครงการจัดสรร คืออะไร
การ ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างถนนภายในโครงการจัดสรร ควรเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบระบบโดยวิศวกรไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต การเลือกประเภทหลอดไฟที่เหมาะสม (แนะนำ LED สำหรับระยะยาว) การวางตำแหน่งและจำนวนเสาไฟให้ครอบคลุม และการเดินท่อร้อยสายไฟอย่างปลอดภัย เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจทั้งในเรื่องความปลอดภัยและความสวยงามของพื้นที่ส่วนกลาง
สำหรับเจ้าของโครงการ ผู้พัฒนา หรือผู้บริหารหมู่บ้านจัดสรรที่ต้องการมืออาชีพในการติดตั้งไฟถนน ควรสอบถามราคาหลายเจ้า เปรียบเทียบคุณภาพวัสดุ และตรวจสอบประวัติงานก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้ระบบไฟถนนที่ทั้งคุ้มค่าและยั่งยืน














