03 June 2025
ระบบไฟฟ้าไม่ใช่แค่สิ่งที่มองไม่เห็น หรือซ่อนอยู่ในผนังหรือเพดานบ้านและโรงงาน แต่ระบบไฟฟ้า คือ หัวใจหลักที่ทำให้อาคารทั้งหลังทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
การติดตั้งระบบไฟฟ้าอย่างไม่ถูกต้อง อาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลวง เช่น ไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร อุปกรณ์ชำรุดบ่อย หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดคือเพลิงไหม้
ดังนั้น การเลือกผู้ให้บริการ รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องที่ ต้องคิดให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย คอนโด อาคารพาณิชย์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของระบบสูงยิ่งจำเป็นต้องใช้ทีมงานมืออาชีพที่มีใบอนุญาต มาตรฐาน และประสบการณ์ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูวิธีเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า ให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด โดยอ้างอิงจากหลักปฏิบัติในวงการ รวมถึงเคล็ดลับจากผู้ใช้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

1. ความสำคัญของการเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
1.1 ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
งานระบบไฟฟ้า คือ รากฐานสำคัญ ที่ส่งผลต่อระบบทั้งหมดในอาคาร หากทำไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการแก้ไข ซ่อมแซม หรือต้องรื้อใหม่ทั้งหมด
1.2 ส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
การเดินสายไฟผิดมาตรฐาน หรือไม่มีระบบป้องกันไฟรั่ว อาจทำให้เกิดไฟดูด ไฟฟ้าช็อต หรือเพลิงไหม้ เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
1.3 ลดปัญหาไฟตก ไฟเกิน
ผู้ให้บริการมืออาชีพจะมีความรู้ด้านการคำนวณโหลด และออกแบบระบบให้รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสมดุล ทำให้ระบบมีเสถียรภาพ

2. 6 เกณฑ์สำคัญในการเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
2.1 ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และการขึ้นทะเบียน
- ช่างไฟฟ้าควรมีใบอนุญาตจาก สภาวิศวกร หรือ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)
- หากเป็นบริษัท ต้องมีการจดทะเบียนนิติบุคคลที่ชัดเจน และมี วิศวกรไฟฟ้า ที่มีใบประกอบวิชาชีพควบคุมงาน
- ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
- ใบรับรองผู้ประกอบการไฟฟ้าแรงสูง (ตามมาตรฐานของการไฟฟ้า)
ใบอนุญาต คือ หลักฐานว่าเขาผ่านการอบรม ความรู้ และมีคุณสมบัติเพียงพอในการทำงานอย่างถูกกฎหมาย
2.2 ตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา
- ขอ Portfolio หรือภาพผลงานที่เคยทำ โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของคุณ
- ตรวจสอบรายละเอียด เช่น
- ลักษณะของอาคารที่เคยทำ (บ้านเดี่ยว คอนโด โรงงาน ฯลฯ)
- ความซับซ้อนของระบบ (เช่น ระบบไฟฟ้าควบคุมอัตโนมัติ, ระบบสำรองไฟ, โซลาร์เซลล์)
- ระยะเวลาในการทำงาน
- ความพึงพอใจของลูกค้า
ประสบการณ์ที่หลากหลายและตรงกับงานของคุณจะช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มคุณภาพของงาน
2.3 ใช้วัสดุและอุปกรณ์ได้มาตรฐาน
- สายไฟควรเป็นของแท้ ได้มาตรฐาน มอก., IEC เช่น สาย THW, NYY, XLPE
- เบรกเกอร์, ตู้ไฟ, ระบบป้องกันไฟรั่ว ควรใช้แบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Schneider, ABB, Mitsubishi
- ขอเอกสาร รับรองการใช้วัสดุ หรือ Invoice จาก Supplier เพื่อความมั่นใจ
วัสดุมาตรฐานจะทนต่อโหลด ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และมีอายุการใช้งานนาน
2.4 มีระบบการรับประกันงานและบริการหลังการขาย
- ควรถามก่อนเริ่มงานว่า “มีการรับประกันหรือไม่?” โดยปกติควรมีรับประกัน 1–2 ปี
ขอบเขตของการรับประกันควรครอบคลุม- งานติดตั้ง
- อุปกรณ์ไฟฟ้า
- การซ่อมแซมเมื่อเกิดปัญหา
- มีทีมงานให้คำปรึกษา หรือเข้าตรวจเช็กหน้างานภายหลังได้รวดเร็ว
งานระบบไฟฟ้ามีโอกาสเกิดปัญหาได้ภายหลัง เช่น ไฟรั่ว ไฟไม่เข้า การรับประกันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในภายหลัง
2.5 ราคาต้องเหมาะสม – โปร่งใส ไม่ถูกจนผิดปกติ
- ขอตีราคาจากผู้รับเหมาหลายราย (อย่างน้อย 3 เจ้า)
- รายการเสนอราคาควรแยกรายการชัดเจน เช่น ค่าของ ค่าติดตั้ง ค่าแรง
- ระวังราคาที่ถูกผิดปกติ อาจแลกมาด้วย
- วัสดุไม่ได้มาตรฐาน
- งานไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีการรับประกัน
ราคาที่เหมาะสมควรสัมพันธ์กับคุณภาพ และไม่ซ่อนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในภายหลัง
2.6 ตรวจสอบรีวิว หรือสอบถามลูกค้าเก่า
- ดูรีวิวออนไลน์ เช่น บน Google Maps, Facebook, Pantip หรือเว็บไซต์ผู้ให้บริการ
- ขอข้อมูลจากลูกค้าเดิมโดยตรง หากทำโครงการใหญ่ เช่น โรงงานหรือสำนักงาน
- สังเกตคำชม/คำตำหนิ เช่น
- การตรงต่อเวลา
- การให้คำปรึกษาก่อนติดตั้ง
- การแก้ไขปัญหาหลังส่งมอบงาน
รีวิวจากลูกค้าเก่า คือ ประสบการณ์จริงที่คุณสามารถนำมาพิจารณาได้อย่างเป็นรูปธรรม

3. เคล็ดลับเพิ่มเติม: ก่อนเริ่มงานกับช่าง หรือ รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
3.1 ทำสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจน
- ระบุรายละเอียดงานติดตั้งให้ครบ
- ระบุวันเริ่มงาน วันส่งมอบงาน
- ใส่รายละเอียดการรับประกัน การเบิกเงินงวด
- แนบใบเสนอราคาที่ตกลงกันไว้
3.2 ขอแบบแปลนการเดินสายไฟ (Electrical Drawing)
- เป็นแผนผังที่บอกตำแหน่งสายไฟ ปลั๊ก สวิตช์ ตู้เบรกเกอร์ ฯลฯ
- ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเมื่อตรวจสอบงาน หรือซ่อมแซมในอนาคต
3.3 ตรวจสอบหน้างานก่อนจ่ายงวดสุดท้าย
- เช็กเบรกเกอร์ว่าแยกโหลดถูกต้องหรือไม่
- ทดสอบระบบ Grounding ว่าทำงานหรือไม่
- ตรวจปลั๊กไฟ แสงสว่าง สวิตช์ ครบหรือไม่
- ตรวจเบรกเกอร์ทุกตัว ติดตั้งได้แน่น ไม่มีสายไฟหลวม

4. คำถามที่ควรถามก่อนว่าจ้าง รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
- มีใบอนุญาตหรือไม่?
- เคยติดตั้งระบบไฟฟ้ากับอาคารลักษณะนี้มากี่โครงการ?
- รับประกันงานกี่ปี และรับผิดชอบอะไรบ้าง?
- สามารถออกแบบระบบไฟ หรือมีวิศวกรควบคุมหรือไม่?
- มีบริการหลังงาน เช่น ตรวจเช็กประจำปี หรือการแก้ไขฟรีหรือไม่?
สรุป เลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า อย่างไรให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย คุ้มค่า
การเลือก รับเหมาติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาแต่เป็นเรื่องของ ความปลอดภัย ความมั่นคงของระบบ และ ความคุ้มค่าในระยะยาว โดยสิ่งที่คุณควรตรวจสอบ ได้แก่
- ใบอนุญาต และทีมงานวิศวกรที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย
- ประสบการณ์จากงานที่เคยทำ
- มาตรฐานของวัสดุที่ใช้
- การรับประกันหลังการติดตั้ง
- ความโปร่งใสของราคา
- ความเห็นจากลูกค้าเก่า
02 June 2025
ในส่วนของการผลิตและอุตสาหกรรม ระบบไฟฟ้าในโรงงาน คือ รากฐานสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิต เครื่องจักร และระบบควบคุมต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ซึ่งระบบไฟฟ้าเหล่านี้มีหลายประเภท ทั้งระบบแรงสูง แรงต่ำ ระบบควบคุมอัตโนมัติ และระบบสำรองไฟ
โดยการเข้าใจระบบไฟฟ้าแต่ละประเภทไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและบำรุงรักษาเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าขัดข้องหรืออุบัติเหตุได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน โดยเฉพาะ 3 หมวดหลักที่ควรรู้ ได้แก่ ระบบแรงต่ำ (Low Voltage System), ระบบแรงสูง (High Voltage System) และระบบควบคุม (Control & Automation System) รวมถึงอุปกรณ์สำคัญอย่าง MCC, MDB, DB, และระบบสำรองไฟฟ้า

1. ระบบไฟฟ้าโรงงาน แรงต่ำ (Low Voltage System)
ระบบแรงต่ำ หมายถึง ระบบที่มีแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 1,000 โวลต์ ซึ่งเป็นแรงดันไฟที่ใช้ในเครื่องจักรทั่วไป พัดลม มอเตอร์ขนาดกลาง ปั๊มน้ำ และอุปกรณ์แสงสว่าง
อุปกรณ์หลักในระบบแรงต่ำ
1.1 MDB – Main Distribution Board
- คือแผงไฟฟ้าหลักที่รับพลังงานจากหม้อแปลงหรือตู้แรงสูง
- ทำหน้าที่กระจายไฟฟ้าไปยังตู้ย่อย (DB, MCC)
- มีอุปกรณ์ป้องกัน เช่น MCCB, Surge Protector, Meter, RCD
- มักติดตั้งในห้องไฟฟ้าหลักของโรงงาน
1.2 DB – Distribution Board
- ตู้ย่อยที่แยกจาก MDB สำหรับจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์หรือโซนต่าง ๆ
- มีเบรกเกอร์ย่อย (MCB) สำหรับแยกโหลด เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องปรับอากาศ
- นิยมติดตั้งตามแต่ละพื้นที่ในโรงงาน เช่น โซนสำนักงาน โซนผลิต
1.3 MCC – Motor Control Center
- ตู้ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อควบคุม “มอเตอร์” และโหลดที่มีลักษณะเหนี่ยวนำ
- ภายในประกอบด้วย
- Magnetic Starter
- Overload Relay
- Soft Starter หรือ VFD (Inverter)
- Circuit Breaker
- สามารถควบคุมหลายมอเตอร์ในตู้เดียว แยกวงจรอิสระ
- ใช้กับมอเตอร์ปั๊มน้ำ, พัดลม, สายพานลำเลียง ฯลฯ
คุณสมบัติสำคัญของ ระบบไฟฟ้าโรงงานแรงต่ำ ที่ดี
- โหลดบาลานซ์ (Load Balance) – ไฟสามเฟสต้องมีโหลดใกล้เคียงกันเพื่อป้องกันแรงดันตก
- ระบบสายดินครบวงจร – เพื่อความปลอดภัยจากไฟรั่วหรือไฟดูด
- ใช้สายไฟตามมาตรฐาน IEC หรือ มอก. – เช่น THW, XLPE, NYY

2. ระบบไฟฟ้าโรงงาน แรงสูง (High Voltage System)
ระบบแรงสูงในโรงงาน ส่วนใหญ่ใช้แรงดันตั้งแต่ 12 kV ขึ้นไป (เช่น 22 kV หรือ 33 kV) เพื่อรับไฟจากการไฟฟ้าแล้วลดระดับแรงดันด้วยหม้อแปลง
องค์ประกอบหลักของระบบแรงสูง
2.1 หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer)
- แปลงไฟจาก 22 kV → 400 V หรือ 380 V
- ประเภทที่นิยมในโรงงาน
- Dry Type – ปลอดภัย ไม่มีน้ำมัน
- Oil Type – รับโหลดสูง ใช้งานกลางแจ้ง
- ต้องติดตั้งในพื้นที่ระบายอากาศดี พร้อมระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
2.2 Ring Main Unit (RMU)
- อุปกรณ์สวิตช์เกียร์แรงสูง ที่ใช้ควบคุมจ่ายไฟจากสายหลักการไฟฟ้า
- เพิ่มความเสถียรในการจ่ายไฟ – หากจุดหนึ่งมีปัญหา ก็สามารถสลับวงจรจ่ายจากอีกด้านได้
2.3 Protection Relay
- ระบบป้องกันการลัดวงจรของระบบแรงสูง
- ตรวจจับ Overcurrent, Earth Fault, Phase Loss
- ตัดวงจรอัตโนมัติเมื่อเกิดความผิดปกติ

3. ระบบควบคุมไฟฟ้าในโรงงาน (Control & Automation System)
ระบบนี้ไม่ได้ใช้พลังงานสูงเหมือนระบบแรงต่ำ/แรงสูง แต่มีความสำคัญมากในการควบคุมกระบวนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอัตโนมัติ
องค์ประกอบของระบบควบคุม
3.1 PLC – Programmable Logic Controller
- สมองกลควบคุมเครื่องจักรตามคำสั่งโปรแกรม
- ใช้ควบคุมสายพาน, แขนกล, เซ็นเซอร์, ระบบลำเลียง ฯลฯ
- รองรับการสื่อสารกับ SCADA หรือระบบ HMI
3.2 HMI – Human Machine Interface
- หน้าจอที่แสดงสถานะการทำงานของเครื่องจักร
- ใช้ควบคุม หรือปรับค่าการทำงานได้อย่างง่าย
3.3 SCADA – Supervisory Control and Data Acquisition
- ระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ สำหรับโรงงานขนาดใหญ่
- ตรวจสอบสถานะไฟฟ้า โหลด และสัญญาณผิดปกติจากระบบต่าง ๆ ได้เรียลไทม์

4. ระบบสำรองไฟ (Backup Power System)
ในโรงงานอุตสาหกรรม ไฟดับ เท่ากับหยุดผลิตและขาดทุน ดังนั้นการมีระบบไฟฟ้าสำรองจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ระบบสำรองไฟที่นิยมใช้ในโรงงาน
4.1 UPS – Uninterruptible Power Supply
- สำรองไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อไฟดับ (ไม่กระตุก)
- ใช้กับอุปกรณ์สำคัญ เช่น คอมพิวเตอร์, ควบคุม PLC, กล้อง CCTV
- สำรองไฟได้ตั้งแต่ 15 นาที ถึง 2 ชั่วโมง
4.2 Generator – เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
- ใช้สำรองไฟทั้งโรงงานหรือโซนสำคัญ
- เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติภายในไม่กี่วินาทีหลังไฟดับ
- ใช้น้ำมันดีเซล หรือก๊าซ NG เป็นเชื้อเพลิง
- ควรมี ATS (Automatic Transfer Switch) ควบคุมการสลับโหลด
4.3 Solar + ESS (Energy Storage System)
- ระบบสำรองพลังงานรูปแบบใหม่ ใช้แผงโซลาร์ร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม
- ลดค่าไฟฟ้าช่วงพีค และจ่ายไฟสำรองได้เมื่อจำเป็น
- ใช้ร่วมกับระบบ SCADA หรือ EMS ได้

5. ข้อควรคำนึงในการออกแบบ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน
5.1 ออกแบบแยกโหลดตามประเภท
- โหลดทั่วไป เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก
- โหลดอุตสาหกรรม เช่น มอเตอร์, ปั๊ม
- โหลดควบคุม เช่น PLC, SCADA
5.2 คำนวณโหลดไฟฟ้าให้แม่นยำ
- ใช้ Software คำนวณ Demand Load, Diversity Factor
- เผื่อโหลดสำรองประมาณ 10–30% สำหรับอนาคต
5.3 วางระบบ Grounding ครบทุกจุด
- ทั้งที่ MDB, MCC, โครงมอเตอร์, ตู้ Control
- วัดค่าความต้านทานดินให้น้อยกว่า 5 โอห์ม
5.4 เดินสายไฟแยกแรงดัน
- สายควบคุม ต้องแยกจากสาย Power เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
- ใช้ราง Cable Tray, Ladder, Duct อย่างเป็นระเบียบ
5.5 รองรับการตรวจสอบ และซ่อมบำรุง
- ติดตั้ง Test Terminal, Breaker Isolation
- มี Single Line Diagram ติดไว้ในตู้ทุกจุด
- ติดตั้งอุปกรณ์ Smart Monitoring เพื่อตรวจสอบโหลด
สรุป องค์ประกอบ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน คือ
ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้มีแค่การจ่ายไฟให้เครื่องจักรเท่านั้น แต่เป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งการจ่ายพลังงาน (แรงต่ำ–แรงสูง) การควบคุมการผลิต และการสำรองกรณีไฟขัดข้อง โดยอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น MDB, MCC, DB, PLC หรือระบบสำรองไฟ ล้วนมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวม
การออกแบบระบบไฟฟ้าโรงงานที่ดี ต้องคำนึงถึง
- ความเหมาะสมกับโหลดการใช้งาน
- ความปลอดภัยสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สิน
- ความยืดหยุ่น รองรับการขยายในอนาคต
- ความสามารถในการควบคุมอัตโนมัติ และตรวจสอบข้อมูล
หากโรงงานของคุณกำลังเริ่มต้นวางแผน หรือรีโนเวท ระบบไฟฟ้า การเลือกทีมออกแบบและติดตั้งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะช่วยให้ระบบไฟของคุณทั้งปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และรองรับเทคโนโลยี
25 May 2025
ระบบไฟฟ้า คือ หัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะระบบนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เปิดไฟ อ่านหนังสือ ดูทีวี ชาร์จอุปกรณ์ ไปจนถึงระบบสมาร์ทโฮมที่ควบคุมทุกอย่างผ่านมือถือ
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การติดตั้ง ระบบไฟฟ้าในบ้านใหม่ กับ บ้านที่รีโนเวท นั้นมี “ความต่าง” กันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่การออกแบบ การเลือกวิธีเดินสายไฟ ไปจนถึงข้อควรระวังเฉพาะกรณี
บทความนี้จะเป็นการ เปรียบเทียบความต่างของงานระบบไฟฟ้าในบ้านทั้งสองประเภท เพื่อให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และคุ้มค่าในระยะยาว

1. จุดเริ่มต้นของงานติดตั้งระบบไฟฟ้า : บ้านใหม่ vs บ้านรีโนเวท
บ้านใหม่ – เริ่มจากศูนย์ วางแผนได้อิสระ
ในการสร้างบ้านใหม่ เจ้าของบ้านสามารถวางแผนระบบไฟฟ้าได้ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น:
- การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์
- การออกแบบวงจรไฟแยกส่วนห้องต่าง ๆ
- การติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าและเบรกเกอร์จากศูนย์
- การเลือกใช้สายไฟและอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
ข้อดีคือสามารถ ควบคุมคุณภาพของระบบได้ทั้งหมด ตั้งแต่การวางแบบ จนถึงการเลือกวัสดุและทีมช่าง
บ้านรีโนเวท – ต้องสำรวจระบบเดิมก่อนเสมอ
ในกรณีของบ้านเก่าที่ต้องการรีโนเวท ระบบไฟฟ้ามักมีอายุการใช้งานมานาน บางจุดอาจเสื่อมสภาพหรือไม่รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าสมัยใหม่ เช่น:
- ปลั๊กมีน้อย หรือไม่มีสายดิน
- ใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไป
- ไม่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ (RCD)
- เดินสายไม่เป็นระเบียบ หรือฝังอยู่ในผนังเก่า
ก่อนเริ่มติดตั้งใหม่ ช่างหรือวิศวกรไฟฟ้าจะต้องสำรวจระบบเก่าทั้งหมด เพื่อดูว่าสามารถดัดแปลง หรือต้องรื้อเปลี่ยนทั้งระบบ

2. การเดินสายไฟ – ฝังผนังหรือลอยดี?
บ้านใหม่: เดินสายฝังผนังหรือเดินใต้ฝ้าได้อย่างเรียบร้อย
- สามารถวางแนวสายไฟตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง
- สายไฟสามารถฝังในผนัง กำแพง หรือเดินใต้ฝ้าได้อย่างแนบเนียน
- ไม่ต้องเปิดผนังหรือเจาะโครงสร้างภายหลัง
- ติดตั้งตู้ควบคุม (MDB) ได้ตามตำแหน่งที่ต้องการ
งานเรียบร้อย สวยงาม เหมาะกับบ้านที่เน้นความสบายตา
บ้านรีโนเวท: เดินสายลอย หรือฝังใหม่ ขึ้นกับงบประมาณ
- ถ้าเป็นบ้านเก่าที่โครงสร้างผนังไม่สามารถเจาะฝังได้ อาจต้องเดินสายลอยหรือเดินในราง Wireway
- หากรีโนเวทขนานใหญ่ อาจเลือกฝังสายใหม่ใต้ผนังหรือเดินใต้ฝ้า (เหมือนบ้านใหม่)
- ต้องระวัง “การเจาะโครงสร้างเดิม” เพราะอาจกระทบความแข็งแรงของบ้าน
เดินสายลอยแบบ “ราง Wireway” หรือ “ท่อ EMT” ช่วยลดการเจาะฝัง และสามารถซ่อมบำรุงได้ง่ายในอนาคต

3. การเลือกชนิดสายไฟและอุปกรณ์
บ้านใหม่ – เลือกได้เต็มที่ ใช้วัสดุใหม่ทั้งหมด
- ใช้สายไฟชนิดใหม่ที่ทนความร้อน เช่น THW, VAF, NYY, XLPE
- เลือกเบรกเกอร์ RCD และตู้ MDB แบบโมเดิร์น
- สามารถติดตั้งระบบสำรองไฟ (Solar, EV Charger) ได้ตั้งแต่ต้น
- วางระบบสายดินอย่างครบถ้วน
ได้ระบบไฟฟ้าที่ “อัปเดตล่าสุด” ตามมาตรฐานความปลอดภัย
บ้านรีโนเวท – ต้องตรวจสอบสายเดิมและเปลี่ยนเฉพาะจุด
- ต้องตรวจสอบขนาดสายเดิมว่าเพียงพอหรือไม่
- หากอุปกรณ์เดิมยังดี อาจใช้ร่วมกับของใหม่ได้
- แนะนำให้เปลี่ยนเบรกเกอร์เป็น RCD ถ้ายังไม่มี
- อาจต้องเปลี่ยนปลั๊ก, สวิตช์, และเดินสายดินเพิ่มเติม
บ้านเก่าบางหลังไม่มีระบบสายดินเลย ต้องวางใหม่ทั้งระบบเพื่อความปลอดภัย

4. ความปลอดภัยและมาตรฐานที่ต้องใส่ใจ
บ้านใหม่ – ออกแบบระบบตามมาตรฐาน มอก.
- ติดตั้งเบรกเกอร์หลัก–ย่อยอย่างเหมาะสม
- มีสายดินทุกวงจรสำคัญ (ปลั๊ก, น้ำอุ่น, แอร์)
- เดินสายแบบแยกโหลด ไม่ปะปนกัน
- สามารถตรวจสอบการรั่วไฟและโหลดได้ง่าย
บ้านรีโนเวท – ต้องตรวจสอบ “ความเสื่อมสภาพ” เป็นพิเศษ
- เช็กสายไฟเก่าว่าฉนวนยังดีหรือไม่
- ตรวจสอบตู้เบรกเกอร์เดิมว่ามีคราบไหม้หรือไม่
- เปลี่ยนปลั๊กที่หลวม หรือมีสภาพชำรุดทันที
- ติดตั้ง RCD เพิ่มหากระบบเดิมไม่มี
- วัดค่าความต้านทานดินด้วย Earth Tester
ไม่ควรใช้ปลั๊กพ่วงแทนการเดินวงจรใหม่ เพราะเสี่ยงไฟไหม้สูง
5. งบประมาณ: ต่างกันแค่ไหน?
บ้านใหม่ – วางงบง่าย ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
- วางแผนค่าใช้จ่ายร่วมกับงานก่อสร้างอื่น
- สามารถเลือกใช้วัสดุคุณภาพกลาง–สูงได้ตามงบ
- ง่ายต่อการเบิกงบจากธนาคาร (ถ้ากู้เพื่อสร้างบ้าน)
ราคาค่าติดตั้งระบบไฟบ้านใหม่ (ทั้งหลัง): โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 – 200,000 บาท ขึ้นกับขนาดบ้านและอุปกรณ์
บ้านรีโนเวท – งบผันผวน ขึ้นกับ “สภาพของระบบเก่า”
- ต้องเผื่องบไว้สำหรับงานรื้อ เปลี่ยน ทดแทนอุปกรณ์เดิม
- งบบานปลายง่ายหากเจอระบบเดิมเสียหายมาก
- หากเดินสายฝัง ต้องเผื่องบซ่อมแซมผนัง/ฝ้า
แนะนำให้ตรวจสอบระบบไฟเดิมก่อนทำสัญญาจ้างช่าง เพื่อประเมินงบได้แม่นยำ
6. ข้อควรระวังเฉพาะกรณี
บ้านใหม่
- ตรวจสอบแบบไฟฟ้าให้ตรงกับแบบบ้าน
- แยกวงจรโหลดหนัก เช่น แอร์, น้ำอุ่น
- ติดตั้งสายดินทุกจุด ตั้งแต่เริ่มต้น
บ้านรีโนเวท
- อย่าใช้สายไฟเก่าร่วมกับอุปกรณ์ใหม่ที่โหลดสูง
- อย่าต่อเพิ่มปลั๊กจากปลั๊กเดิมแบบต่อพ่วง
- ตรวจสอบฝ้า ผนัง และแนวเดินสายเดิมให้ครบ
7. เลือกช่างหรือติดตั้งกับทีมไหนดี?
ไม่ว่าจะบ้านใหม่หรือรีโนเวท ควรเลือกช่างหรือผู้รับเหมาระบบไฟฟ้าที่
- มีใบอนุญาตช่างไฟฟ้า หรือวิศวกรไฟฟ้า กว.
- เคยมีผลงานติดตั้งบ้านหรืออาคารพักอาศัย
- มีแบบแปลนไฟฟ้า SLD และตารางวงจรให้ดู
- เสนอราคาชัดเจน พร้อมระบุวัสดุที่จะใช้
- มีการรับประกันงาน (อย่างน้อย 1 ปี)
บ้านรีโนเวทอาจต้องใช้ “ช่างไฟที่มีความสามารถเฉพาะด้าน” เช่น เดินสายลอยอย่างสวยงาม หรือเดินท่อ EMT แบบโชว์
สรุป
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในบ้านใหม่ กับบ้านรีโนเวท แม้จะมีเป้าหมายเหมือนกัน คือเพื่อให้ใช้งานไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่ในเชิงการออกแบบและการดำเนินงานกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านความยืดหยุ่น การควบคุมคุณภาพ และการรับมือกับระบบเดิม
เปรียบเทียบโดยสรุป
หัวข้อ
บ้านใหม่ บ้านรีโนเวท
การออกแบบ
เริ่มจากศูนย์ วางแผนได้อิสระ ต้องสำรวจระบบเดิมก่อน
การเดินสายไฟ
ฝังผนัง/ใต้ฝ้า ได้สวยงาม เดินสายลอย/ราง EMT หากเจาะไม่ได้
อุปกรณ์ไฟฟ้า
เลือกใหม่ทั้งหมด ใช้ของเดิมร่วมบางส่วนได้
ระบบความปลอดภัย
วางสายดินและเบรกเกอร์ใหม่ครบ ต้องเสริมระบบให้เทียบเท่ามาตรฐานใหม่
งบประมาณ
ควบคุมได้ง่าย ผันผวนตามสภาพของระบบเดิม
- การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์
24 May 2025
ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ที่กำลังสร้าง หรือบ้านเก่าที่ต้องการปรับปรุงระบบไฟฟ้า การ “เดินสายไฟ” ถือเป็นงานพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะ ระบบไฟฟ้า ที่ดี ไม่เพียงช่วยให้การใช้งานสะดวกและต่อเนื่อง แต่ยังเป็นหัวใจของ “ความปลอดภัย” ในบ้านทุกหลังอีกด้วย
เจ้าของบ้านหลายคนอาจเข้าใจว่าเรื่องของการเดินสายไฟเป็นหน้าที่ของช่างไฟหรือวิศวกร แต่ในความเป็นจริง เจ้าของบ้านเองก็ควรมีความรู้พื้นฐานบางอย่าง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของงาน ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ และดูแลรักษาระบบได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า “ รับเดินสายไฟในบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง? ” พร้อมชี้จุดที่ควรใส่ใจ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า เช่น ไฟดูด ไฟไหม้ หรือระบบไฟฟ้าขัดข้องอย่างมีประสิทธิภาพ

1. ทำไมเจ้าของบ้านต้องรู้เรื่องระบบไฟฟ้า?
หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องไฟฟ้า เพราะมีช่างหรือผู้รับเหมาดูแลอยู่แล้ว แต่การมี “ความรู้เบื้องต้น” มีประโยชน์มากในหลายมิติ:
- ตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งได้
- วางแผนจุดปลั๊กไฟ แสงสว่าง ได้ตรงกับการใช้งานจริง
- เลือกวัสดุไฟฟ้าให้เหมาะสม คุ้มค่า
- ดูแลรักษาระบบเบื้องต้นได้เอง
- ลดโอกาสเกิดอันตรายจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
โดยเฉพาะในยุคที่อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านมีมากขึ้น เช่น ทีวี 4K, ตู้เย็น Inverter, เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า, สมาร์ทโฮม ฯลฯ การเดินสายไฟอย่างถูกต้องและปลอดภัยจึงสำคัญมาก

2. เลือกช่างไฟต้องดูอะไร? อย่าเสี่ยงกับ “ช่างไม่มีใบอนุญาต”
หนึ่งในจุดเสี่ยงของบ้านหลายหลัง คือการเลือกใช้ “ช่างไฟไม่ได้มาตรฐาน” ซึ่งอาจไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่ถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร, เดินสายไฟผิดขนาด, ไม่มีระบบสายดิน ฯลฯ
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนจ้างช่างไฟ
- มีใบอนุญาตช่างไฟฟ้าจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือไม่
- มีใบประกอบวิชาชีพช่างไฟฟ้า ระดับ 1–3 (กรณีระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่)
- มีผลงานการเดินระบบไฟบ้านมาก่อนหรือไม่
- สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพได้หรือไม่
- มีใบเสนอราคาชัดเจน พร้อมแสดงรายการวัสดุ
หากเป็นบ้านใหม่หรือระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหลัง ควรใช้ช่างที่มีวิศวกรไฟฟ้ารับรองแบบ (มี กว.) เพื่อให้ผ่านมาตรฐานการขอเลขบ้าน/ไฟฟ้า

3. เข้าใจชนิดของสายไฟก่อนติดตั้ง – เลือกให้ถูก ปลอดภัย ใช้งานได้นาน
สายไฟเป็นหัวใจของระบบไฟฟ้าในบ้าน การเลือกใช้สายไฟผิดประเภทหรือขนาดไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิด “ความร้อนสะสม” จนเป็นต้นเหตุของไฟไหม้ได้
ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้ในบ้าน
ชื่อสายไฟ
คุณสมบัติ การใช้งาน VAF
สายแบน หุ้ม PVC เดินในผนัง/ฝ้า สำหรับแสงสว่าง
THW
ทนความร้อน 70°C เดินในท่อร้อยสาย หรือภายนอก
NYY
หุ้มสองชั้น ใช้ภายนอก/ฝังดิน สายเมนจากตู้ไฟเข้าบ้าน
XLPE ทนความร้อนสูง 90°C ใช้กับโหลดสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ
ขนาดสายไฟ (ตามกระแสที่รับได้)
ขนาดสาย (ตร.มม.)
รองรับกระแส (แอมป์) ตัวอย่างการใช้งาน
2.5
20–25 ปลั๊กไฟทั่วไป 4.0
30–35 ปั๊มน้ำ
6.0
40–45 เครื่องทำน้ำอุ่น
10.0 ขึ้นไป 50+ ระบบแอร์ใหญ่ หรือสายเมน
แนะนำ: เลือกสายไฟที่มี มอก. รับรอง และมีฉนวนหุ้มคุณภาพสูง ป้องกันความชื้นและหนูกัด

4. ระบบสายดิน – เรื่องเล็กที่ห้ามมองข้าม
“สายดิน” หรือ Grounding System คือระบบที่ช่วยป้องกันไฟฟ้ารั่ว และช่วยตัดไฟทันทีเมื่ออุปกรณ์มีปัญหา เช่น เครื่องทำน้ำอุ่นรั่ว, ปลั๊กไฟช็อต
หน้าที่ของสายดิน
- ป้องกันไฟดูด
- นำกระแสไฟรั่วลงดินได้ทันที
- ทำงานร่วมกับเบรกเกอร์ตัดไฟอัตโนมัติ (RCD/ELCB)
การติดตั้งสายดินที่ถูกต้อง
- เดินสายดินจากทุกปลั๊กสำคัญ (เฉพาะปลั๊ก 3 ขา)
- ติดตั้ง Ground Rod (แท่งทองแดงฝังดิน) อย่างน้อย 1 จุด
- ความต้านทานดินต้องต่ำกว่า 5 โอห์ม (วัดด้วย Earth Tester)
- ใช้สายไฟสีเขียว/เหลือง เป็นมาตรฐานของสายดิน
บ้านที่ไม่มีสายดิน มีความเสี่ยงสูงมากต่อไฟดูด โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว และพื้นที่ชื้น

5. ตู้เมนเบรกเกอร์ – จุดควบคุมความปลอดภัยทั้งระบบ
ตู้เมนเบรกเกอร์ (Main Distribution Board – MDB) คือตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหลัง ใช้สำหรับแบ่งวงจร ควบคุมการตัด–ต่อไฟ และป้องกันไฟลัดวงจร
ส่วนประกอบของตู้เมนเบรกเกอร์
- Main Breaker: ตัดไฟทั้งบ้านเมื่อเกิดเหตุ
- Miniature Circuit Breaker (MCB): ตัดวงจรย่อย เช่น ห้องนอน ห้องครัว
- RCD หรือ ELCB: ตัดไฟเมื่อมีไฟรั่ว
- Surge Protector: ป้องกันไฟกระชากจากฟ้าผ่า
เคล็ดลับการออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์
- แบ่งวงจรออกเป็นห้อง หรือประเภทโหลด เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องทำน้ำอุ่น
- เลือกเบรกเกอร์ที่รับกระแสเหมาะสม ไม่เล็กเกิน ไม่ใหญ่เกิน
- ติดตั้งในจุดที่เข้าถึงง่าย เช่น ผนังหน้าบ้านหรือห้องเก็บของ
- ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น
- มีช่องสำหรับต่อวงจรสำรองในอนาคต
หากบ้านมีระบบโซลาร์เซลล์ หรือ EV Charger ควรออกแบบตู้เมนพิเศษร่วมกับวิศวกรไฟฟ้า
เคล็ดลับเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบไฟในบ้าน
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าทุก 2–3 ปี โดยช่างมืออาชีพ
- เปลี่ยนปลั๊กหรือสายไฟที่กรอบ แตก ลอกทันที
- ห้ามใช้ปลั๊กพ่วงต่อหลายชั้น
- ใช้เบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว (RCD) โดยเฉพาะในห้องน้ำ
- เดินสายไฟอย่างเรียบร้อย ไม่พาดผ่านจุดเสี่ยงหรือใกล้น้ำ
สรุป สิ่งที่เจ้าของบ้านควรรู้
การเดินสายไฟในบ้าน เป็นงานสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความปลอดภัยของคนในบ้าน” และ “อายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า” ในระยะยาว การรู้พื้นฐานต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผน จ้างช่าง และดูแลระบบไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ
- เลือกช่างไฟที่มีใบอนุญาต และมีผลงานน่าเชื่อถือ
- เข้าใจชนิดและขนาดของสายไฟ ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์
- ติดตั้งระบบสายดิน อย่างครบถ้วน ลดความเสี่ยงไฟดูด
- ออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์ให้มีระบบป้องกันครบ
- ดูแลระบบอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเช็กทุก 2–3 ปี
- ตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งได้
23 May 2025
ในโลกของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีขั้นสูง ระบบไฟฟ้าเปรียบได้กับระบบไหลเวียนโลหิตของโรงงาน เพราะกระบวนการผลิต เครื่องจักร สายการผลิต ไปจนถึงระบบอาคารทั้งหมด ต่างต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
การออกแบบและติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเทคนิคของวิศวกร แต่เป็นเรื่องที่เจ้าของโรงงานควร “รู้และเข้าใจ” เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง งานไฟฟ้า ไปจนถึงการวางแผนขยายกำลังผลิตในอนาคต
บทความนี้จะสรุป 5 ข้อควรรู้ ที่เจ้าของโรงงานและผู้วางแผนโครงการควรเข้าใจ ก่อนเริ่มต้นติดตั้งระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าโรงงานจะสามารถดำเนินงานได้อย่าง ปลอดภัย เสถียร และประหยัดพลังงาน

1. มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน – ต้องรู้ไว้ก่อนเริ่ม
ระบบไฟฟ้าในโรงงานต้องออกแบบและติดตั้งภายใต้กรอบของกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และกระบวนการผลิตทั้งหมด
1.1 กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
- มาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม (ตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม)
- มาตรฐาน มอก. (มอก. 11-2553, มอก. 2432-2555 ฯลฯ)
- มาตรฐาน NEC (National Electrical Code – USA) สำหรับระบบใหญ่
- IEC (International Electrotechnical Commission) สำหรับโรงงานที่มีการส่งออก
- มาตรฐาน IEEE และ NFPA (สำหรับระบบความปลอดภัยและไฟฟ้าพิเศษ)
1.2 การยื่นขออนุญาต
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานจะต้องมีการยื่นแบบไฟฟ้าต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น:
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค / การไฟฟ้านครหลวง – สำหรับขอเชื่อมต่อระบบแรงสูง-แรงต่ำ
- กรมโรงงานอุตสาหกรรม – สำหรับโรงงานที่มีหม้อแปลง, โหลดเกินเกณฑ์
- เทศบาล / อบต. – ขออนุญาตก่อสร้างอาคารและติดตั้งระบบ
เจ้าของโรงงานควรเลือกผู้รับเหมาระบบไฟฟ้าที่มีวิศวกร กว. (ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม) เพื่อให้สามารถยื่นแบบและควบคุมงานได้ตามกฎหมาย

2. ประเมินความต้องการพลังงานอย่างแม่นยำ – เพื่อระบบที่ไม่ล่มและไม่เกินงบ
การรู้ว่าต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ คือกุญแจสำคัญในการออกแบบระบบไฟฟ้าที่เหมาะสม ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่สิ้นเปลือง และไม่ต้องแก้ภายหลัง
2.1 โหลดไฟฟ้าคืออะไร?
โหลด คือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่โรงงานต้องใช้ในการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น:
- มอเตอร์ ปั๊ม พัดลม
- ระบบแสงสว่าง
- เครื่องทำความเย็น/อากาศ
- ระบบคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์
- อุปกรณ์ชาร์จรถไฟฟ้า (หากมี)
2.2 วิธีคำนวณโหลดไฟฟ้าเบื้องต้น
- รวบรวมข้อมูลโหลดจากอุปกรณ์ทุกชนิด (กำลังไฟฟ้าเป็น kW หรือ kVA)
- นำค่าทั้งหมดมารวมกัน แล้วคูณกับ “Demand Factor” (ประมาณ 0.7–0.9 ขึ้นกับประเภทโรงงาน)
- เผื่อโหลดล่วงหน้า 20–30% สำหรับการขยายในอนาคต
ตัวอย่าง: โหลดรวมเครื่องจักร 400 kW → เผื่อโหลด +30% → รวม 520 kW
หม้อแปลงที่เหมาะสม = อย่างน้อย 630 kVA ขึ้นไป2.3 ตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้า
ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ด้วย
- Power Factor (ควรไม่ต่ำกว่า 0.95)
- ความสม่ำเสมอของแรงดัน (Voltage Fluctuation)
- ความถี่ (Frequency Stability)

3. การจัดวางตู้ไฟฟ้าและหม้อแปลง – อย่ามองข้ามความปลอดภัย
การจัดวางอุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น MDB (Main Distribution Board), หม้อแปลง, ATS, ตู้ควบคุมเครื่องจักร ฯลฯ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย และใช้งานสะดวกในระยะยาว
3.1 ตำแหน่งของห้องไฟฟ้า
- ควรตั้งอยู่ใกล้จุดรับไฟจากการไฟฟ้า
- อยู่ในจุดที่ระบายอากาศได้ดี ไม่ชื้น ไม่ใกล้วัตถุไวไฟ
- มีทางเข้า–ออกที่สะดวก ปลอดภัย หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
3.2 ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
- ผนังห้องควบคุมควรเป็นวัสดุกันไฟอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- มีระบบระบายความร้อน (สำหรับหม้อแปลงแบบ Dry Type หรือ Oil Type)
- ติดตั้ง Grounding และระบบ Surge Protection
- ป้ายเตือนแรงสูง และเครื่องดับเพลิงชนิดที่ใช้กับไฟฟ้า (Class C)
3.3 การจัดวางตู้ควบคุมและสายไฟ
- ควรวางแผน Layout ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างอาคาร
- ใช้รางสายไฟที่มีมาตรฐาน มีฝาปิด ป้องกันฝุ่น
- แยกตู้ควบคุมเครื่องจักรออกจากตู้แสงสว่าง
- ติดตั้งตู้ที่ระดับความสูง 1.2–1.5 เมตร เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

4. การเดินสายไฟให้รองรับการใช้งานและการขยายในอนาคต
สายไฟเป็นโครงข่ายหลักของระบบไฟฟ้า หากออกแบบไม่ดี จะส่งผลระยะยาวทั้งเรื่องไฟตก ร้อนเกินไป หรือแม้แต่ไฟไหม้
4.1 หลักในการเดินสายไฟ
- เดินสายโดยแยกตามประเภทโหลด เช่น เครื่องจักร, แสงสว่าง, ปลั๊กไฟ
- แยก Phase ให้เหมาะสม ลดการโอเวอร์โหลด
- วางสายในราง (Cable Tray) หรือท่อเหล็ก (EMT / RSC) ที่มีการป้องกันดี
- เลือกขนาดสายให้เผื่อกระแสประมาณ 20–25%
4.2 รองรับอนาคต
- วางรางสายไฟที่มีขนาดเผื่อไว้สำหรับสายเพิ่มเติม
- จัดโครงสร้างสายไฟแบบ “Modular” ที่สามารถต่อขยายได้ง่าย
- ติดตั้งตู้สำรอง (Spare Panel) เพื่อรองรับอุปกรณ์ใหม่
- ติดตั้งช่องเดินสายหรือท่อร้อยสายไว้ล่วงหน้าแม้ยังไม่ใช้งาน
- การออกแบบที่ยืดหยุ่น ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงในอนาคตง่ายขึ้น และไม่ต้องรื้อระบบใหม่ทั้งหมด

5. เลือกผู้รับเหมางานไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด ไม่ว่าระบบจะออกแบบดีแค่ไหน หากเลือกผู้รับเหมาผิด อาจเกิดปัญหาใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย และคุณภาพงาน
5.1 สิ่งที่ควรพิจารณา
- บริษัทมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (กว.) หรือไม่?
- มีวิศวกรไฟฟ้าควบคุมงานเต็มเวลา?
- เคยทำงานระบบไฟฟ้าในโรงงานมาก่อนหรือไม่?
- มีเอกสารแบบไฟฟ้า SLD, BOQ, และ Load List อย่างชัดเจน
- รับประกันงานหลังติดตั้งนานแค่ไหน?
5.2 ระบบที่ควรมีในการติดตั้ง
- ระบบ QA/QC ตรวจสอบทุกขั้นตอน
- การทดสอบระบบก่อนเปิดใช้งานจริง (Commissioning Test)
- การอบรมผู้ใช้งานเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเบื้องต้น
- เอกสารคู่มือและแผนผังระบบไฟฟ้า
สรุป เรื่องที่เจ้าของโรงงานควรรู้
การ ติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่การ “ลากสายและเปิดไฟ” แต่เป็นโครงการที่ต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม ความแม่นยำในการวางแผน และความเข้าใจเชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับการผลิตในอนาคต
- เข้าใจมาตรฐานและกฎหมาย ที่ใช้ควบคุมการติดตั้ง
- คำนวณโหลดไฟฟ้าอย่างแม่นยำ และเผื่อการขยาย
- วางตำแหน่งตู้ไฟ/หม้อแปลง ให้ปลอดภัยและใช้งานสะดวก
- เดินสายไฟแบบเผื่ออนาคต ลดความยุ่งยากในการปรับปรุง
- เลือกผู้รับเหมาที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในงานอุตสาหกรรม
- มาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม (ตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม)
22 May 2025
ระบบไฟฟ้าในโรงงาน อุตสาหกรรมถือเป็นหัวใจของการผลิต เพราะเกือบทุกกระบวนการตั้งแต่เครื่องจักร, ระบบควบคุม, แสงสว่าง, ระบบระบายอากาศ, ไปจนถึงระบบความปลอดภัย ล้วนต้องพึ่งพาไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
การออกแบบ ระบบไฟฟ้า ในโรงงานจึงต้องคำนึงถึง ความปลอดภัย, ความเสถียร, และ ความสามารถในการรองรับโหลด อย่างเหมาะสม ไม่เพียงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้ารั่วหรือไฟไหม้เท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนพลังงานและการหยุดชะงักของการผลิตในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโครงสร้างระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่การคำนวณโหลด การเลือกอุปกรณ์ การเดินสายไฟแรงต่ำ–แรงสูง ตลอดจนมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล

-
โครงสร้างระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม
ระบบไฟฟ้าในโรงงานจะแบ่งออกเป็น 2 ระบบหลัก ได้แก่
1.1 ระบบแรงสูง (High Voltage System)
- ใช้ในโรงงานที่มีโหลดไฟฟ้าสูง (มากกว่า 1,000 kVA)
- รับไฟจากหม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูง เช่น 22 kV หรือ 33 kV จากการไฟฟ้า
- ต้องมีสถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) ที่แปลงแรงดันไฟฟ้าลงเป็นแรงต่ำ
- อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบแรงสูง ได้แก่
- หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer)
- ตู้ MDB (Main Distribution Board)
- Circuit Breaker ขนาดใหญ่
- Protection Relay
- Earthing System
1.2 ระบบแรงต่ำ (Low Voltage System)
- แรงดัน 220/380V สำหรับอุปกรณ์ทั่วไป
- ใช้กับเครื่องจักร, แสงสว่าง, ปลั๊กไฟ, ระบบ IT, HVAC
- เดินสายจาก MDB แยกออกเป็น DB (Distribution Board) ไปยังโหลดต่างๆ
ระบบทั้งสองต้องเชื่อมโยงกันอย่างสมดุล โดยออกแบบให้สามารถรองรับโหลดที่คาดการณ์ได้ พร้อมเผื่อความสามารถรองรับในอนาคตอย่างน้อย 20–30%

-
การคำนวณโหลดไฟฟ้าในโรงงาน
การคำนวณโหลดเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรกก่อนจะเริ่มออกแบบระบบไฟฟ้า เพื่อกำหนดขนาดของอุปกรณ์, สายไฟ, และหม้อแปลงไฟฟ้า
2.1 ประเภทของโหลดไฟฟ้าในโรงงาน
- โหลดคงที่ (Fixed Load): เครื่องจักร, แสงสว่าง, HVAC
- โหลดเปลี่ยนแปลง (Variable Load): มอเตอร์, ปั๊ม, เครื่องปรับอากาศ
- โหลดสำรอง (Backup Load): ระบบฉุกเฉิน เช่น ไฟ Exit, UPS
2.2 ขั้นตอนการคำนวณโหลด
- รวบรวมข้อมูลโหลดทุกจุด (Watt, Ampere, Phase)
- คำนวณ Demand Factor ตามประเภทโหลด
- รวมค่ากำลังไฟฟ้าทั้งหมด (kW/kVA)
- กำหนดขนาดของหม้อแปลงไฟฟ้า (เผื่อ +25%)
- คำนวณขนาดสายไฟและ Breaker ตามค่ากระแสที่ใช้

-
การเลือกใช้สายไฟให้เหมาะสม
สายไฟคือเส้นเลือดหลักของโรงงาน การเลือกผิดอาจทำให้เกิดความร้อนสะสม ไฟลัดวงจร หรือไฟไหม้
3.1 ปัจจัยในการเลือกสายไฟ
- ขนาดกระแสที่ต้องรับ (Amp)
- ความยาวของสาย (แรงดันตกตามระยะทาง)
- ลักษณะการใช้งาน (เดินในราง, ใต้ดิน, แขวนบนอากาศ)
- ประเภทฉนวน (ทนร้อน, ทนน้ำมัน, ทน UV)
3.2 ประเภทสายไฟที่นิยมใช้ในโรงงาน
ชื่อสายไฟ
คุณสมบัติ การใช้งาน
THW
ทนความร้อน 70°C งานทั่วไปในท่อร้อยสาย XLPE
ทนความร้อน 90°C งานภายนอกทน UV
VAF
แบน-ทนแรงดึงต่ำ แสงสว่างทั่วไป
NYY เดินใต้ดินได้ ระบบหลัก / ภายนอก
3.3 ตารางขนาดสายไฟตัวอย่าง
ขนาดสาย (sq.mm.)
รับกระแส (Amp) การใช้งาน
2.5
20–25 ปลั๊กไฟทั่วไป 10
50–60 มอเตอร์ขนาดกลาง
35
140–160 สายเมนโรงงาน
95 260–280 ต่อหม้อแปลง

-
อุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าในโรงงาน
เพื่อความปลอดภัยของทั้งเครื่องจักรและบุคลากร ระบบไฟฟ้าต้องมีอุปกรณ์ป้องกันทุกระดับ
4.1 Breaker (Circuit Breaker)
- ตัดวงจรเมื่อมีกระแสเกินหรือลัดวงจร
- ประเภท:
- MCB: สำหรับโหลดขนาดเล็ก
- MCCB: โหลดขนาดกลาง-ใหญ่
- ACB: โหลดระดับหม้อแปลง
- ควรเลือก Breaker ที่รองรับกระแสเต็ม (Full Load) + 20%
4.2 ระบบป้องกันไฟรั่ว (ELCB/RCD)
- ตัดวงจรทันทีเมื่อมีไฟรั่ว
- สำคัญในพื้นที่เปียก เช่น ห้องน้ำ, ห้องล้างอุปกรณ์
4.3 ฟ้าผ่าและ Surge Protection
- อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (SPD)
- ระบบ Grounding และสายดินคุณภาพสูง

-
การเดินสายไฟในโรงงาน (แรงสูง–แรงต่ำ)
การเดินสายไฟต้องวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบอาคาร เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการซ่อมบำรุง
5.1 การเดินสายแรงต่ำ
- ใช้รางเดินสาย (Cable Tray), ท่อ EMT/RSC, ราง Wireway
- ควรแบ่งโซนชัดเจน เช่น โซนแสงสว่าง, โซนเครื่องจักร
- วางแผนจุดเชื่อมต่อสายไฟให้เข้าถึงง่าย
- ห้ามเดินสายไฟรวมกับสายสื่อสาร
5.2 การเดินสายแรงสูง
- เดินสายจากหม้อแปลงไปยัง MDB ด้วยสาย NYY หรือ XLPE
- ควรเดินในท่อเหล็กหรือฝังดิน พร้อมมีระบบเตือนภัย
- ติดตั้งอยู่ในห้องควบคุมที่มีฉนวนกันไฟ และระบบระบายอากาศ

-
การติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer)
โรงงานขนาดกลาง–ใหญ่จำเป็นต้องมีหม้อแปลงของตัวเอง
ปัจจัยในการเลือกหม้อแปลง
- ขนาดโหลดรวม (kVA)
- ขนาดหม้อแปลงที่เหมาะสม (ควรเผื่อ 20–30%)
- ความสามารถในการรองรับความร้อน
- มีระบบระบายความร้อน (Oil-cooled / Dry type)
- ติดตั้งในพื้นที่ปลอดภัย ห่างจากสารไวไฟ

-
ระบบไฟฟ้าสำรองและความต่อเนื่องของการผลิต
โรงงานที่ต้องการทำงานต่อเนื่องห้ามหยุด เช่น อาหาร, การแพทย์, อิเล็กทรอนิกส์ ต้องมีระบบไฟฟ้าสำรองที่พร้อมใช้งานทันที
ตัวเลือกระบบสำรอง
- UPS (Uninterruptible Power Supply): สำรองเฉพาะอุปกรณ์สำคัญ
- Generator: สำรองไฟให้ทั้งโรงงาน
- ATS (Automatic Transfer Switch): สลับระบบไฟอัตโนมัติ
โรงงานควรวางแผน Load Prioritization – ว่าจุดไหนสำคัญ ต้องใช้ UPS, จุดไหนใช้ Generator ได้

-
มาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดที่ควรรู้
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน ต้องอิงตามกฎหมายและมาตรฐานวิชาชีพ
มาตรฐานสำคัญ
- มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)
- IEC (International Electrotechnical Commission)
- IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers)
- NEC (National Electrical Code – USA)
- ข้อกำหนดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค/นครหลวง
เอกสารประกอบระบบไฟฟ้า
- แบบแปลนระบบไฟฟ้า (Single Line Diagram)
- รายการคำนวณโหลด
- รายการอุปกรณ์และจุดติดตั้ง
- คู่มือระบบและคู่มือซ่อมบำรุง
สรุป ระบบไฟฟ้าที่ดี คือระบบที่ “เสถียร ปลอดภัย และขยายได้”
การออกแบบระบบไฟฟ้า ในโรงงานไม่ใช่แค่เรื่องของการจ่ายกระแสไฟให้เพียงพอ แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และการรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
เคล็ดลับการวางระบบไฟฟ้าโรงงานให้มีประสิทธิภาพ
- วางแผนโหลดให้เหมาะสมและเผื่อการขยาย
- ใช้วัสดุสายไฟและอุปกรณ์ตามมาตรฐาน
- ตรวจสอบระบบสายดินและ Breaker ให้ปลอดภัย
- แยกโหลดสำคัญออกจากโหลดทั่วไป
- วางแผนสำรองไฟเพื่อไม่ให้สายการผลิตหยุด
ติดต่อโทร : 088-6544163
-
21 May 2025
ไม่ว่าคุณกำลังจะสร้างบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้า หนึ่งใน “ตัวแปรที่สำคัญที่สุด” ต่อความสำเร็จของโครงการคือ การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง การเลือกผิด อาจทำให้เกิดปัญหางบบานปลาย งานล่าช้า คุณภาพต่ำ หรือแม้แต่เกิดข้อพิพาททางกฎหมาย
คำถามคือ เราจะเลือกบริษัทรับเหมาในไทยอย่างไรให้คุ้มค่า ปลอดภัย และไว้ใจได้จริง?
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกหลักการ เปรียบเทียบบริษัทรับเหมา พร้อมแนะแนววิธีประเมินผู้รับเหมาทั้งในแง่ผลงาน ใบอนุญาต ประสบการณ์ การบริการหลังงาน และความโปร่งใส เพื่อให้คุณมั่นใจว่าการตัดสินใจจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว

-
ประเภทของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในไทย
ก่อนจะเปรียบเทียบบริษัทรับเหมา เราควรรู้จัก “ประเภท” ของบริษัทรับเหมาที่มีอยู่ในตลาดไทยเสียก่อน เพราะแต่ละแบบมี ข้อดี–ข้อจำกัดต่างกันไป
1.1 รับเหมาเฉพาะทาง (Subcontractor)
- ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ไฟฟ้า ปรับอากาศ โครงเหล็ก
- ไม่สามารถรับงานครบวงจรได้
- เหมาะกับเจ้าของโครงการที่มีความรู้และควบคุมงานเองได้
1.2 ผู้รับเหมาอิสระ (Individual Contractor)
- ช่างท้องถิ่น ทีมเล็ก ค่าแรงถูก
- ไม่มีนิติบุคคล อาจขาดความน่าเชื่อถือ
- มักไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ (QA/QC)
1.3 บริษัทรับเหมาแบบเต็มรูปแบบ (General Contractor)
- มีนิติบุคคล ทีมวิศวกร สถาปนิก และทีมควบคุมงาน
- รับผิดชอบตั้งแต่ออกแบบจนถึงส่งมอบ
- สามารถจัดทำเอกสารทางราชการ เช่น ขออนุญาตก่อสร้าง
- มักเสนอรูปแบบ Turnkey หรือ Design–Build
หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์ด้านก่อสร้าง แนะนำให้เลือกบริษัทรับเหมาที่ให้บริการครบวงจร เพื่อป้องกันความยุ่งยากและลดความเสี่ยง

-
วิธีเปรียบเทียบบริษัทรับเหมาที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือ
2.1 ตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา (Portfolio)
ผลงานจริง คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด บริษัทที่มีประสบการณ์ในงานประเภทเดียวกับที่คุณจะทำ ย่อมมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญมากกว่า
สิ่งที่ควรดูใน Portfolio
- มีงานลักษณะใกล้เคียงหรือไม่ (เช่น โรงงาน, คลังสินค้า, อาคารสูง)
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อสร้างและปัญหาที่พบ
- ภาพจริงของหน้างาน ไม่ใช่แค่ 3D
- มีลูกค้าองค์กรหรือบริษัทใหญ่ไหม?
- มีการรีวิวหรือ Case Study ระบุรายละเอียดชัดเจนหรือไม่
บริษัทที่มีผลงานหลากหลาย และมีผลงานที่สม่ำเสมอหลายปี ย่อมบ่งบอกถึงความมั่นคงและประสบการณ์ที่เชื่อถือได้
2.2 ความน่าเชื่อถือของนิติบุคคลและใบอนุญาต
อย่าเลือกบริษัทเพียงเพราะราคาที่ต่ำกว่า เพราะผู้รับเหมาบางรายอาจไม่มีใบอนุญาต หรือจดทะเบียนนิติบุคคลไม่ถูกต้อง ส่งผลต่อความเสี่ยงทางกฎหมายและคุณภาพงาน
สิ่งที่ควรตรวจสอบ
- ใบทะเบียนนิติบุคคล (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
- ทุนจดทะเบียน – บ่งบอกความมั่นคง (ทุน 1–5 ล้านบาทขึ้นไปถือว่าดี)
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม (กว.) ของวิศวกรประจำโครงการ
- ประกันภัยงานก่อสร้าง (Construction All Risk) – ปกป้องเจ้าของโครงการ
- ใบอนุญาตการรับเหมาระดับชาติ / นิติบุคคลรับจ้างงานราชการ (ถ้ามี)
บริษัทที่มีใบอนุญาตครบ จะสามารถยื่นขออนุญาตปลูกสร้าง ยื่นแบบ ต่อหน่วยงานราชการ และขอสินเชื่อกับธนาคารได้ง่ายกว่ามาก
2.3 ความโปร่งใสด้านราคาและสัญญา
บ่อยครั้งที่เจ้าของโครงการเลือกบริษัทรับเหมาที่ให้ราคาต่ำที่สุด แต่พอเริ่มก่อสร้างกลับมีการ “แจ้งเพิ่มงบ” หรือ “ลดสเปกวัสดุ” โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณควรเลือกบริษัทที่ให้ข้อมูลชัดเจนตั้งแต่แรก
ต้องมีเอกสารดังนี้
- BOQ (Bill of Quantity) รายการวัสดุ + ปริมาณ + ราคา แยกตามหมวด
- แบบก่อสร้าง (Drawing) พร้อมรายการประกอบแบบ
- ระยะเวลาก่อสร้างที่แน่นอน (กำหนดวันเริ่ม–วันส่งมอบ)
- ระบุค่าปรับกรณีล่าช้า
- ระบุการรับประกันงานและวัสดุ
2.4 ความสามารถด้านงานระบบและเทคนิคเฉพาะ
สำหรับงานก่อสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ระบบวิศวกรรมมีความสำคัญมาก เช่น ไฟฟ้าแรงสูง, ระบบเครื่องจักร, ระบบระบายอากาศ, สปริงเกลอร์ ฯลฯ
สอบถามว่า บริษัทรับเหมา มีทีมวิศวกรเฉพาะทาง หรือใช้ ผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ซึ่งอาจควบคุมคุณภาพได้ยากกว่า
2.5 การบริหารงานโครงการและทีมควบคุมคุณภาพ
บริษัทรับเหมาที่ดีจะมีโครงสร้างการบริหารงานชัดเจน เช่น มีผู้จัดการโครงการ (PM), วิศวกรควบคุมงาน, และทีม QA/QC ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอน
2.6 บริการหลังการก่อสร้าง (After-Sales Service)
แม้ว่าโครงการจะสร้างเสร็จแล้ว แต่ปัญหาหน้างานมักจะเกิดภายหลัง เช่น พื้นแตกร้าว ประตูเสีย ระบบไฟไม่เสถียร ฯลฯ โดยบริษัทที่ดีต้องมีทีมซ่อมบำรุง หรือให้บริการหลังการขาย เช่น
- รับประกันงานโครงสร้างไม่น้อยกว่า 1 ปี
- บริการตรวจสอบอาคารฟรีหลังส่งมอบ
- บริการตอบรับภายใน 24–48 ชั่วโมงเมื่อแจ้งปัญหา
- ให้คำปรึกษาเมื่อต้องการขยายหรือปรับปรุงในอนาคต
-
19 May 2025
การก่อสร้างโรงงาน เป็นหนึ่งในการลงทุนที่สำคัญที่สุดของธุรกิจภาคการผลิต เพราะโรงงานไม่เพียงเป็นสถานที่ผลิตสินค้า แต่ยังเป็นหัวใจของต้นทุน การบริหารงาน และศักยภาพการขยายกิจการในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เจ้าของธุรกิจหลายรายที่ไม่มีประสบการณ์ในงานก่อสร้าง อาจมองว่าแค่ “หาผู้รับเหมามาสร้างตามแบบ” ก็เพียงพอ แต่ในความจริง การก่อสร้างโรงงานมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ทั้งในด้านข้อกฎหมาย เทคนิควิศวกรรม ไปจนถึงงานระบบและความปลอดภัยที่ต้องผ่านมาตรฐานเฉพาะ
บทความนี้จะพาคุณ เจาะลึกทุกสิ่งที่ควรรู้ ก่อนเริ่มโครงการก่อสร้างโรงงาน พร้อมข้อควรระวังสำคัญที่จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาด เสียเวลา และงบบานปลายในระยะยาว

1. รู้จักเป้าหมายของโรงงานให้ชัดเจนก่อนเริ่มออกแบบ
ก่อนจะติดต่อบริษัทรับเหมา สิ่งแรกที่เจ้าของกิจการควรตอบให้ได้คือ “โรงงานนี้สร้างขึ้นเพื่ออะไร?” เพราะเป้าหมายของการใช้งานจะส่งผลต่อการออกแบบ ขนาด ระบบ และงบประมาณโดยรวม
คำถามที่ควรตอบก่อนเริ่มโครงการ
- ผลิตสินค้าอะไร? ต้องใช้เครื่องจักรขนาดไหน?
- ต้องการกำลังการผลิตต่อวันเท่าไร?
- ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าในโรงงานด้วยหรือไม่?
- ต้องมีสำนักงานในอาคารเดียวกันหรือแยก?
- จำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิหรือมีห้อง Cleanroom ไหม?
- ต้องรองรับการขยายโรงงานในอนาคตหรือไม่?
การวางแผนล่วงหน้าเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ออกแบบสามารถจัดทำ Layout ที่ตรงจุด ลดการแก้แบบ และลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น

2. ตรวจสอบข้อกฎหมายและการขออนุญาตก่อนเริ่มก่อสร้าง
หนึ่งในความผิดพลาดที่พบบ่อย คือ เริ่มก่อสร้างก่อนขออนุญาต ซึ่งอาจทำให้ถูกสั่งระงับงานหรือปรับเป็นเงินจำนวนมาก ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับขั้นตอนทางกฎหมายตั้งแต่แรก
ขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน
- ขอใบอนุญาตก่อสร้าง (อ.1 หรือ รง.4 ขึ้นกับขนาดกิจการ)
- ยื่นแบบแปลนทางสถาปัตย์และวิศวกรรมต่อเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
- ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ใบ รง.4) กับกรมโรงงานอุตสาหกรรม
- ตรวจสอบว่าอยู่ในเขตควบคุมอุตสาหกรรมหรือไม่ เช่น EEC, เขตนิคม
- ต้องผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือไม่
ควรเลือกบริษัทรับเหมาที่มีประสบการณ์ในด้านเอกสาร และสามารถช่วยประสานงานการยื่นขออนุญาตได้ครบวงจร เพื่อป้องกันความล่าช้าและความผิดพลาด

3. เลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์ด้านโรงงานโดยเฉพาะ
ไม่ใช่ผู้รับเหมาทุกเจ้าจะสามารถสร้างโรงงานได้ดี การก่อสร้างโรงงานต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางมากกว่าการสร้างบ้านหรือสำนักงาน
คุณสมบัติที่ควรมองหา
- มีผลงานโรงงานหรือคลังสินค้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- มีทีมวิศวกรที่สามารถออกแบบ Layout ตามสายการผลิต
- เข้าใจระบบพื้นรับน้ำหนัก, ระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม, ระบบระบายอากาศ
- มีการรับประกันงานและควบคุมคุณภาพ (QA/QC) ชัดเจน
- ให้บริการแบบครบวงจร (Design–Build หรือ Turnkey)
การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่เข้าใจความต้องการของอุตสาหกรรม จะช่วยลดความผิดพลาดทางเทคนิค ลดงบประมาณเกินจริง และทำให้โครงการเสร็จตรงเวลา

4. เลือกวัสดุก่อสร้างให้เหมาะกับการใช้งานอุตสาหกรรม
วัสดุที่ใช้ในการสร้างโรงงานควรเน้นความทนทาน ใช้งานหนักได้ และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ เพราะเมื่อใช้งานจริง โรงงานจะต้องเผชิญทั้งแรงสั่นสะเทือน ความชื้น ความร้อน หรือสารเคมีบางชนิด
วัสดุแนะนำสำหรับโรงงาน
- โครงสร้างเหล็ก (Steel Structure): เหมาะกับโรงงานที่ต้องการพื้นที่กว้าง ไม่มีเสากลาง
- หลังคาเมทัลชีทพร้อมฉนวนกันความร้อน: ลดความร้อนภายใน ลดค่าไฟ
- พื้นโรงงานแบบพิเศษ เช่น Epoxy, PU, ขัดมัน Hardener: รองรับน้ำหนักเครื่องจักรและรถยก
- ประตูโรงงานแบบ Roll-up หรือ High-speed Door: ใช้งานเร็ว ประหยัดพลังงาน
- ผนัง Sandwich Panel: น้ำหนักเบา เป็นฉนวนกันความร้อน/เสียงในตัว
การเลือกวัสดุที่เหมาะสมตั้งแต่แรก ช่วยลดปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงในอนาคต และช่วยให้อาคารมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

5. งานระบบไฟฟ้า หัวใจของโรงงานอุตสาหกรรม
ระบบไฟฟ้า ในโรงงานไม่ใช่แค่ไฟส่องสว่าง แต่รวมถึงไฟสำหรับเครื่องจักร ระบบควบคุมอัตโนมัติ ไปจนถึงระบบสำรองไฟและความปลอดภัยทั้งหมด
สิ่งที่ต้องคำนึงในการออกแบบระบบไฟฟ้า
- กำลังไฟฟ้าที่ต้องการ (kVA) สำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์
- การเลือกหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformers) และตู้ควบคุมหลัก (MDB)
- การเดินสายไฟให้ปลอดภัยและเป็นระเบียบ
- ระบบสำรองไฟ (UPS หรือ Generator) สำหรับงานที่หยุดไม่ได้
- ระบบสายดินและป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (ELCB, Breakers)
- ระบบไฟฟ้าแรงสูง (หากจำเป็น) ต้องมีวิศวกรไฟฟ้ารับรอง
หากเลือกผู้รับเหมาที่ไม่ชำนาญด้านงานระบบไฟฟ้า อาจเกิดความเสี่ยงทั้งต่ออุปกรณ์ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการผลิต
6. ระบบระบายอากาศและความปลอดภัย – หัวใจของสภาพแวดล้อมการทำงาน
โรงงานที่มีการถ่ายเทอากาศดีและมีระบบความปลอดภัยที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดอุบัติเหตุ และลดปัญหาด้านสุขภาพของพนักงาน
ระบบที่ควรวางแผนตั้งแต่เริ่ม
- พัดลมระบายอากาศ / พัดลมอุตสาหกรรม
- Ventilation Fan บนหลังคาเพื่อไล่ความร้อน
- ระบบดูดฝุ่น (Dust Collector) หากมีการผลิตที่ก่อให้เกิดฝุ่น
- ระบบดับเพลิง เช่น Sprinkler, Fire Alarm
- ป้ายหนีไฟ – ทางหนีไฟ – ระบบส่องสว่างฉุกเฉิน
- ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) และควบคุมการเข้า–ออก
บริษัทรับเหมาที่มีประสบการณ์ จะสามารถวางระบบเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของงานโครงสร้างได้อย่างกลมกลืน และไม่ต้องแก้ไขทีหลัง
7. อย่ามองข้ามพื้นที่สนับสนุน – สำนักงาน ห้องน้ำ ลานจอด
โรงงานที่ดีไม่ควรเน้นเฉพาะพื้นที่ผลิตเท่านั้น แต่ควรวางแผนพื้นที่สนับสนุนอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานอย่างครบถ้วน
พื้นที่ที่ควรมี
- สำนักงานแยกหรือในตัวโรงงาน
- ห้องประชุม – ห้องควบคุมการผลิต
- ห้องน้ำพนักงานแยกเพศ – ห้องอาบน้ำ
- ลานจอดรถพนักงานและรถบรรทุก
- พื้นที่สีเขียวหรือบ่อบำบัดน้ำเสีย
การวางแผนตั้งแต่แรกจะช่วยให้โรงงานมีสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นระเบียบ และสามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการได้ง่ายขึ้น
8. ข้อควรระวังสำคัญก่อนเซ็นสัญญาก่อสร้าง
การเซ็นสัญญาก่อสร้างโดยไม่รอบคอบ อาจทำให้เกิดปัญหางบบานปลาย งานล่าช้า หรือคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์
สิ่งที่ควรตรวจสอบในสัญญา
- รายการวัสดุที่ใช้ (BOQ) ระบุยี่ห้อหรือเกรดให้ชัดเจน
- กำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่เหมาะสม พร้อมค่าปรับกรณีล่าช้า
- ระบบการตรวจรับงานและงวดการชำระเงิน
- การรับประกันงานโครงสร้างและงานระบบ (ขั้นต่ำ 1 ปี)
- กำหนดการดูแลหลังการส่งมอบ เช่น บริการซ่อมภายใน 24–48 ชม.
สรุป ความพร้อมก่อนสร้างโรงงานคือ การวางแผนที่แม่นยำ ร่วมกับ ทีมงานมืออาชีพ
การสร้างโรงงานไม่ใช่แค่เรื่องของแบบก่อสร้างหรือราคาที่ถูกที่สุด แต่คือการ “ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน” ของกิจการในระยะยาว
เจ้าของธุรกิจที่เข้าใจเป้าหมายอย่างชัดเจน พร้อมเลือกพันธมิตรรับเหมาที่เชี่ยวชาญในงานโรงงาน จะสามารถควบคุมโครงการให้สำเร็จได้ตรงเวลา ตรงงบ และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพตั้งแต่วันแรกที่เปิดดำเนินงาน













