ไม่ว่าคุณกำลังจะสร้างบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้า หนึ่งใน “ตัวแปรที่สำคัญที่สุด” ต่อความสำเร็จของโครงการคือ การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง การเลือกผิด อาจทำให้เกิดปัญหางบบานปลาย งานล่าช้า คุณภาพต่ำ หรือแม้แต่เกิดข้อพิพาททางกฎหมาย
คำถามคือ เราจะเลือกบริษัทรับเหมาในไทยอย่างไรให้คุ้มค่า ปลอดภัย และไว้ใจได้จริง?
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกหลักการ เปรียบเทียบบริษัทรับเหมา พร้อมแนะแนววิธีประเมินผู้รับเหมาทั้งในแง่ผลงาน ใบอนุญาต ประสบการณ์ การบริการหลังงาน และความโปร่งใส เพื่อให้คุณมั่นใจว่าการตัดสินใจจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว
-
ประเภทของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในไทย
ก่อนจะเปรียบเทียบบริษัทรับเหมา เราควรรู้จัก “ประเภท” ของบริษัทรับเหมาที่มีอยู่ในตลาดไทยเสียก่อน เพราะแต่ละแบบมี ข้อดี–ข้อจำกัดต่างกันไป
1.1 รับเหมาเฉพาะทาง (Subcontractor)
- ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ไฟฟ้า ปรับอากาศ โครงเหล็ก
- ไม่สามารถรับงานครบวงจรได้
- เหมาะกับเจ้าของโครงการที่มีความรู้และควบคุมงานเองได้
1.2 ผู้รับเหมาอิสระ (Individual Contractor)
- ช่างท้องถิ่น ทีมเล็ก ค่าแรงถูก
- ไม่มีนิติบุคคล อาจขาดความน่าเชื่อถือ
- มักไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ (QA/QC)
1.3 บริษัทรับเหมาแบบเต็มรูปแบบ (General Contractor)
- มีนิติบุคคล ทีมวิศวกร สถาปนิก และทีมควบคุมงาน
- รับผิดชอบตั้งแต่ออกแบบจนถึงส่งมอบ
- สามารถจัดทำเอกสารทางราชการ เช่น ขออนุญาตก่อสร้าง
- มักเสนอรูปแบบ Turnkey หรือ Design–Build
หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์ด้านก่อสร้าง แนะนำให้เลือกบริษัทรับเหมาที่ให้บริการครบวงจร เพื่อป้องกันความยุ่งยากและลดความเสี่ยง
-
วิธีเปรียบเทียบบริษัทรับเหมาที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือ
2.1 ตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา (Portfolio)
ผลงานจริง คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด บริษัทที่มีประสบการณ์ในงานประเภทเดียวกับที่คุณจะทำ ย่อมมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญมากกว่า
สิ่งที่ควรดูใน Portfolio
- มีงานลักษณะใกล้เคียงหรือไม่ (เช่น โรงงาน, คลังสินค้า, อาคารสูง)
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อสร้างและปัญหาที่พบ
- ภาพจริงของหน้างาน ไม่ใช่แค่ 3D
- มีลูกค้าองค์กรหรือบริษัทใหญ่ไหม?
- มีการรีวิวหรือ Case Study ระบุรายละเอียดชัดเจนหรือไม่
บริษัทที่มีผลงานหลากหลาย และมีผลงานที่สม่ำเสมอหลายปี ย่อมบ่งบอกถึงความมั่นคงและประสบการณ์ที่เชื่อถือได้
2.2 ความน่าเชื่อถือของนิติบุคคลและใบอนุญาต
อย่าเลือกบริษัทเพียงเพราะราคาที่ต่ำกว่า เพราะผู้รับเหมาบางรายอาจไม่มีใบอนุญาต หรือจดทะเบียนนิติบุคคลไม่ถูกต้อง ส่งผลต่อความเสี่ยงทางกฎหมายและคุณภาพงาน
สิ่งที่ควรตรวจสอบ
- ใบทะเบียนนิติบุคคล (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
- ทุนจดทะเบียน – บ่งบอกความมั่นคง (ทุน 1–5 ล้านบาทขึ้นไปถือว่าดี)
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม (กว.) ของวิศวกรประจำโครงการ
- ประกันภัยงานก่อสร้าง (Construction All Risk) – ปกป้องเจ้าของโครงการ
- ใบอนุญาตการรับเหมาระดับชาติ / นิติบุคคลรับจ้างงานราชการ (ถ้ามี)
บริษัทที่มีใบอนุญาตครบ จะสามารถยื่นขออนุญาตปลูกสร้าง ยื่นแบบ ต่อหน่วยงานราชการ และขอสินเชื่อกับธนาคารได้ง่ายกว่ามาก
2.3 ความโปร่งใสด้านราคาและสัญญา
บ่อยครั้งที่เจ้าของโครงการเลือกบริษัทรับเหมาที่ให้ราคาต่ำที่สุด แต่พอเริ่มก่อสร้างกลับมีการ “แจ้งเพิ่มงบ” หรือ “ลดสเปกวัสดุ” โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณควรเลือกบริษัทที่ให้ข้อมูลชัดเจนตั้งแต่แรก
ต้องมีเอกสารดังนี้
- BOQ (Bill of Quantity) รายการวัสดุ + ปริมาณ + ราคา แยกตามหมวด
- แบบก่อสร้าง (Drawing) พร้อมรายการประกอบแบบ
- ระยะเวลาก่อสร้างที่แน่นอน (กำหนดวันเริ่ม–วันส่งมอบ)
- ระบุค่าปรับกรณีล่าช้า
- ระบุการรับประกันงานและวัสดุ
2.4 ความสามารถด้านงานระบบและเทคนิคเฉพาะ
สำหรับงานก่อสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ระบบวิศวกรรมมีความสำคัญมาก เช่น ไฟฟ้าแรงสูง, ระบบเครื่องจักร, ระบบระบายอากาศ, สปริงเกลอร์ ฯลฯ
สอบถามว่า บริษัทรับเหมา มีทีมวิศวกรเฉพาะทาง หรือใช้ ผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ซึ่งอาจควบคุมคุณภาพได้ยากกว่า
2.5 การบริหารงานโครงการและทีมควบคุมคุณภาพ
บริษัทรับเหมาที่ดีจะมีโครงสร้างการบริหารงานชัดเจน เช่น มีผู้จัดการโครงการ (PM), วิศวกรควบคุมงาน, และทีม QA/QC ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอน
2.6 บริการหลังการก่อสร้าง (After-Sales Service)
แม้ว่าโครงการจะสร้างเสร็จแล้ว แต่ปัญหาหน้างานมักจะเกิดภายหลัง เช่น พื้นแตกร้าว ประตูเสีย ระบบไฟไม่เสถียร ฯลฯ โดยบริษัทที่ดีต้องมีทีมซ่อมบำรุง หรือให้บริการหลังการขาย เช่น
- รับประกันงานโครงสร้างไม่น้อยกว่า 1 ปี
- บริการตรวจสอบอาคารฟรีหลังส่งมอบ
- บริการตอบรับภายใน 24–48 ชั่วโมงเมื่อแจ้งปัญหา
- ให้คำปรึกษาเมื่อต้องการขยายหรือปรับปรุงในอนาคต