5 เหตุผลที่ควรเลือกบริษัทรับเหมาแบบครบวงจร

การ สร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างอาคารเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผน การขออนุญาต ไปจนถึงการก่อสร้างและส่งมอบอาคารให้พร้อมใช้งาน 

หากกระบวนการเหล่านี้ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบหรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมตั้งแต่ต้นจนจบ โครงการอาจประสบปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น งบประมาณบานปลาย ล่าช้า หรือไม่ได้มาตรฐาน

ซึ่งทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเลือกใช้บริการ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง แบบครบวงจร (Turnkey Contractor) ซึ่งให้บริการตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการก่อสร้างและส่งมอบอาคารพร้อมใช้งานภายในงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด

ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับ 5 เหตุผลหลัก ว่าทำไมการเลือกบริษัทรับเหมาแบบครบวงจรจึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะสำหรับโครงการโรงงานและคลังสินค้า ซึ่งต้องการทั้งความแม่นยำ ความรวดเร็ว และมาตรฐานด้านอุตสาหกรรมที่สูง

ประหยัดเวลา ด้วยการจัดการโครงการแบบบูรณาการ

  1. ประหยัดเวลา ด้วยการจัดการโครงการแบบบูรณาการ

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของบริษัทรับเหมาแบบครบวงจรคือ การลดขั้นตอนและประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ เขียนแบบ ขออนุญาต ไปจนถึงงานก่อสร้าง อยู่ภายใต้การควบคุมของทีมงานเดียวกัน

เปรียบเทียบกับระบบเดิม

หากเลือกใช้สถาปนิกและวิศวกรจากบริษัทหนึ่ง แล้วค่อยไปหาผู้รับเหมาก่อสร้างอีกบริษัทหนึ่ง คุณจะต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้ประสานงาน” ระหว่างหลายฝ่ายเอง ซึ่งกินเวลาและอาจเกิดความขัดแย้งในการตีความแบบ หรือการจัดการงบประมาณ

ในขณะที่บริษัทรับเหมาแบบครบวงจร จะทำหน้าที่เป็น ผู้จัดการโครงการแบบเบ็ดเสร็จ ผู้ว่าจ้างเพียงแค่ติดต่อกับผู้ประสานงานหลักจากบริษัทเดียว และติดตามความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ระยะเวลาก่อสร้างลดลงเฉลี่ย 20-30%
  • ลดความซ้ำซ้อนของงาน และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น
  • เริ่มต้นใช้งานโรงงานหรือคลังสินค้าได้เร็วกว่ากำหนด

บริษัทรับเหมาแบบ Turnkey

  1. ควบคุมงบประมาณได้อย่างแม่นยำ งบไม่บานปลาย

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของการก่อสร้างคือ งบประมาณที่บานปลาย ซึ่งมักเกิดจากการเปลี่ยนแบบ การทำงานซ้ำ หรือการตีความแบบผิดพลาดจากฝ่ายก่อสร้าง

ข้อดีของระบบครบวงจร

บริษัทรับเหมาแบบ Turnkey จะทำการวางแผนงบประมาณตั้งแต่ต้น โดยอิงจากการออกแบบที่สอดคล้องกับต้นทุนจริงในการก่อสร้าง ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมออกแบบและทีมก่อสร้าง บริษัทสามารถเสนอ แนวทางการออกแบบที่เหมาะสมกับงบประมาณ ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ยังสามารถควบคุมราคาวัสดุ และวางแผนจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องใช้วัสดุประเภทใด ปริมาณเท่าไหร่ และเมื่อใด

ความแตกต่างจากระบบทั่วไป

หากจ้างสถาปนิกออกแบบแยกจากผู้รับเหมา อาจได้แบบที่เกินงบประมาณ เมื่อถึงมือผู้รับเหมา อาจต้องปรับแบบใหม่ ซึ่งทำให้เสียทั้งเวลาและเงิน แต่ในระบบครบวงจร งบประมาณจะถูกควบคุมตลอดกระบวนการ โดยมีรายงานต้นทุนและการเบิกจ่ายให้ตรวจสอบเป็นระยะ

มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรม

  1. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรม

การสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ไม่เหมือนการสร้างบ้านหรืออาคารพาณิชย์ เพราะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเฉพาะด้าน เช่น

  • โหลดน้ำหนักของเครื่องจักร
  • ระบบระบายอากาศ
  • ระบบไฟฟ้าแรงสูง
  • การวางผังภายในที่สัมพันธ์กับสายการผลิต
  • การขนส่งภายในคลังสินค้า
  • ความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

ทำไมต้องใช้บริษัทที่เชี่ยวชาญ?

บริษัทรับเหมาแบบครบวงจรที่มีประสบการณ์ในด้านงานอุตสาหกรรม จะเข้าใจและสามารถออกแบบให้ตอบโจทย์ การใช้งานจริงในภาคการผลิตหรือโลจิสติกส์ ได้ดี เช่น

  • การเลือกใช้วัสดุที่ทนต่อสารเคมี
  • ระบบพื้นโรงงานที่รองรับแรงกระแทก
  • การออกแบบเส้นทางขนส่งที่ไม่ขวางสายการผลิต

ผลดีที่ได้รับ

  • ลดความผิดพลาดในการวางระบบ
  • ยืดอายุการใช้งานของอาคาร
  • ลดต้นทุนในการซ่อมแซมในอนาคต
  • ได้อาคารที่รองรับการขยายในอนาคต

ลดภาระเจ้าของโครงการในการประสานงาน

  1. ลดภาระเจ้าของโครงการในการประสานงาน

โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น โรงงานหรือคลังสินค้า ต้องอาศัยการประสานงานกับหลายฝ่าย เช่น:

  • หน่วยงานราชการ เพื่อขออนุญาต
  • วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรระบบ
  • ผู้รับเหมาช่วง
  • ผู้จัดหาวัสดุ
  • ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย ฯลฯ

ในระบบทั่วไป

เจ้าของโครงการต้องมี Project Manager หรือทำหน้าที่บริหารโครงการเอง ซึ่งเป็นงานหนักและต้องอาศัยความรู้ด้านเทคนิค

ในระบบครบวงจร 

บริษัทรับเหมาจะทำหน้าที่เหล่านี้แทนเจ้าของทั้งหมด

  • มีการจัดทำแผนงาน
  • ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ
  • ควบคุมคุณภาพ
  • ติดตามงานเป็นรายสัปดาห์/เดือน
  • รายงานความคืบหน้าแบบมืออาชีพ

สิ่งที่เจ้าของโครงการต้องทำ

เพียงแค่ตั้งเป้าหมาย และตัดสินใจในประเด็นสำคัญ เช่น งบประมาณ สเปควัสดุ หรือกำหนดเวลาเท่านั้น ที่เหลือบริษัทรับเหมาจะดูแลอย่างครบถ้วน

ได้งานคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมรับประกัน

  1. ได้งานคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมรับประกัน

อีกหนึ่งข้อดีที่มองข้ามไม่ได้คือ คุณภาพของงาน ซึ่งมีผลต่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน

คุณภาพในระบบ Turnkey

  • มีการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การวางระบบ ไปจนถึงการเก็บรายละเอียด
  • บริษัทรับเหมาที่มีชื่อเสียงมักมีระบบ Quality Assurance (QA) และ Quality Control (QC) อย่างเข้มงวด
  • ส่งมอบอาคารพร้อมเอกสารรับประกัน และคู่มือการใช้งาน
  • พร้อมให้บริการหลังการขาย เช่น ซ่อมแซม หรือปรับปรุงระบบเพิ่มเติมในอนาคต

ลดความเสี่ยง

  • ลดโอกาสเกิดปัญหาจากงานก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน เช่น น้ำรั่ว พื้นทรุด โครงสร้างไม่แข็งแรง ฯลฯ
  • บริษัทรับเหมาที่รับผิดชอบโครงการทั้งหมดจะไม่โยนความผิดให้ผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมาช่วง เพราะต้องรับผิดชอบทั้งระบบ

สรุป ทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับธุรกิจที่ต้องการความมั่นคง

การสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า คือการลงทุนครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อกระบวนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว

การเลือกใช้ บริษัทรับเหมาแบบครบวงจร จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะคุณจะได้ทั้ง

  • การประหยัดเวลา

  • งบประมาณที่ควบคุมได้

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

  • การบริหารจัดการที่มืออาชีพ

  • งานก่อสร้างคุณภาพสูงพร้อมรับประกัน

หากคุณต้องการ สร้างโรงงาน หรือคลังสินค้าที่พร้อมใช้งานได้จริงภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาจุกจิกระหว่างทาง บริษัทรับเหมาแบบครบวงจรคือตัวเลือกที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก

แชร์บทความนี้