• ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง

    30 July 2025

    สารบัญ

    ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง – ทำถูกตั้งแต่ต้น ลดปัญหาในระยะยาว

    การเริ่มต้น ก่อสร้างอาคาร บ้าน หรือโรงงาน ไม่ได้เริ่มจากการเทคานหรือขึ้นโครงสร้าง แต่เริ่มจาก ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงและปลอดภัยของอาคารในระยะยาว

    เจ้าของโครงการจำนวนไม่น้อยมองข้ามขั้นตอนนี้ คิดว่าเพียงแค่เคลียร์พื้นที่ก็เพียงพอ แต่ความจริงแล้ว การเตรียมพื้นที่อย่างละเอียด ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการทรุดตัว การรั่วซึมของน้ำ ความเสียหายต่อฐานราก หรือแม้กระทั่งปัญหาทางกฎหมายจากการขาดใบอนุญาต

    บทความนี้จะพาคุณไปดู ทุกขั้นตอนของการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง อย่างถูกต้อง ตั้งแต่สำรวจดิน เคลียร์พื้นที่ ถมดิน ปักหมุดก่อสร้าง ไปจนถึงการขออนุญาตกับหน่วยงานรัฐ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าก่อสร้างได้อย่างมั่นคงและถูกต้องตั้งแต่วันแรก

    สำรวจพื้นที่ดินอย่างละเอียด

    1. สำรวจพื้นที่ดินอย่างละเอียด

    ขั้นตอนแรกของการเตรียมพื้นที่ก่อสร้างคือการสำรวจสภาพพื้นที่ที่แท้จริง เพื่อวางแผนถมดินและปรับระดับให้เหมาะสมกับประเภทอาคารที่จะสร้าง

    1.1 ตรวจสอบระดับพื้นที่ (Survey)

    วิศวกรสำรวจจะวัดความสูง–ต่ำของพื้นที่เทียบกับระดับถนนหน้าบ้าน หรือระดับน้ำท่วมสูงสุดในอดีต เพื่อกำหนดระดับพื้นอาคารที่เหมาะสม ไม่ต่ำจนเสี่ยงน้ำขัง และไม่สูงเกินจำเป็นจนสิ้นเปลืองงบถมดิน

    1.2 ประเมินความชันของพื้นที่

    หากพื้นที่มีความลาดเอียง จะต้องปรับหน้าดินหรือใช้เขื่อนกันดินร่วมด้วย โดยเฉพาะกรณีพื้นที่ภูเขา หรือเนินเตี้ยที่ต้องรองรับน้ำไหล

    1.3 วิเคราะห์หน้าดินและชนิดดิน

    ดินแต่ละประเภทมีความสามารถในการรับน้ำหนักต่างกัน เช่น ดินทราย ดินเหนียว ดินถม หากพื้นที่เป็นดินอ่อนหรือตะกอนอุดมสมบูรณ์ อาจต้องเจาะสำรวจชั้นดิน (Soil Test) เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรองรับฐานราก

    1.4 วิเคราะห์ทิศทางน้ำไหล

    เพื่อออกแบบการระบายน้ำในอนาคตไม่ให้ขังหรือไหลย้อนกลับเข้าอาคาร โดยเฉพาะอาคารในพื้นที่ลุ่มหรือติดคลอง

    1. เคลียร์พื้นที่ก่อสร้าง

    การเตรียมพื้นที่ต้องสะอาดและปลอดสิ่งกีดขวาง เพื่อไม่ให้มีอุปสรรคต่อการก่อสร้าง และช่วยลดอุบัติเหตุจากเศษวัสดุ

    2.1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิม (ถ้ามี)

    บ้านร้าง รั้วเดิม หรือโครงสร้างเก่าที่จะไม่ใช้ ต้องรื้อถอนอย่างถูกวิธี แยกวัสดุที่รีไซเคิลได้ และระวังโครงสร้างที่มีแร่ใยหินหรือสารอันตราย

    2.2 ตัดต้นไม้–ขุดรากไม้

    แม้ต้นไม้จะดูไม่เป็นอุปสรรค แต่รากของต้นไม้ใหญ่สามารถดันพื้นอาคารจนร้าวได้ในอนาคต ควรขุดรากและปรับหน้าดินให้เรียบ

    2.3 กำจัดวัชพืช เศษอิฐ เศษเหล็ก

    วัสดุเหลือทิ้งอาจฝังตัวในดิน ทำให้ฐานรากไม่มั่นคง ควรใช้เครื่องจักรตักออกให้หมดก่อนเริ่มถมดิน

    2.4 ตรวจสอบระบบเดิมใต้ดิน

    เช่น ท่อระบายน้ำเดิม ท่อแก๊ส หรือสายไฟใต้ดิน ควรตรวจสอบและรื้อถอนหากไม่ใช้งาน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างขุดเจาะฐานราก

    1. ถมดินให้ได้มาตรฐาน

    การถมดินที่ดีจะช่วยให้ฐานรากมั่นคง อาคารไม่ทรุดในอนาคต ควรใช้ดินถมที่เหมาะสมและมีการบดอัดทุกชั้นอย่างได้มาตรฐาน

    3.1 ประเภทของดินถม

    • ดินลูกรัง: นิยมใช้มาก รองรับน้ำหนักดี ราคาสูง
    • ดินดาน: แข็ง แต่ถมแล้วอุ้มน้ำ
    • ดินทราย: ระบายน้ำดี แต่ต้องบดอัดแน่น
    • ดินดำ/ดินเหนียว: ไม่ควรใช้ เพราะยุบตัวง่าย

    3.2 วิธีการถมดิน

    ควรถมทีละชั้นไม่เกิน 30–50 ซม. แล้วบดอัดด้วยรถบด เพื่อให้ความแน่นของดินสม่ำเสมอ ป้องกันการยุบตัวในอนาคต

    3.3 การถมดินล่วงหน้า (Settle Time)

    ในบางพื้นที่ที่ต้องถมดินหนา เช่น เกิน 1 เมตร อาจต้องปล่อยให้ดินเซตตัวก่อนก่อสร้างประมาณ 1–3 เดือน หรือใช้เสาเข็มเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

    3.4 ทดสอบความแน่นของดิน (Field Density Test)

    เพื่อยืนยันว่าดินมีความแน่นเพียงพอที่จะรับน้ำหนักโครงสร้าง ซึ่งควรให้วิศวกรโยธาทำการตรวจสอบก่อนเทฐานราก

    ปักหมุดอาคาร

    1. ปักหมุดอาคารและ Control Point

    เมื่อพื้นที่พร้อมแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำก่อนเริ่มลงเสาเข็มหรือฐานรากคือ การกำหนดตำแหน่งอาคารอย่างแม่นยำ

    4.1 ปักหมุดอาคาร (Building Layout)

    ใช้เครื่องมือวัดระดับและมุม เพื่อกำหนดแนวอาคารให้ตรงตามแบบพิมพ์เขียว ตรวจสอบความแม่นยำด้วยตลับเมตรและกล้อง Total Station

    4.2 ติดตั้งหมุด Control Point

    เป็นหมุดที่อ้างอิงระดับพื้น (Elevation) และแนวขอบเขตอาคาร ใช้อ้างอิงตลอดทั้งโครงการ ควรป้องกันไม่ให้สูญหายระหว่างการทำงาน

    4.3 ตรวจสอบแนวเขตที่ดิน (Boundary Check)

    เช็คแนวรั้วหรือแนวเขตที่ดินตามโฉนด เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องรุกล้ำหรือขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน

    ตรวจสอบระบสาธารณูปโภค

    1. ตรวจสอบระบบสาธารณูปโภค

    ก่อนเริ่มลงมือก่อสร้าง ควรตรวจสอบว่าสาธารณูปโภคพื้นฐานพร้อมหรือไม่

    5.1 ไฟฟ้าและน้ำประปา

    ยื่นขอไฟฟ้าชั่วคราว และประปาชั่วคราวกับการไฟฟ้า/การประปาในพื้นที่ เพื่อใช้งานระหว่างก่อสร้าง

    5.2 ทางเข้ารถบรรทุก

    ตรวจสอบว่าเส้นทางรถบรรทุกสามารถเข้าถึงได้หรือไม่ หากต้องใช้ถนนส่วนบุคคล ต้องขออนุญาตเจ้าของก่อน

    5.3 ระบบระบายน้ำรอบพื้นที่

    หากพื้นที่ไม่มีทางระบายน้ำ อาจต้องติดตั้งท่อชั่วคราว หรือขุดบ่อพักน้ำเพื่อไม่ให้น้ำขังในช่วงฤดูฝน

    1. เอกสารและการขออนุญาตก่อสร้าง

    แม้จะมีพื้นที่พร้อมแล้ว แต่หากไม่มีการขออนุญาตให้ถูกต้อง อาจถูกระงับการก่อสร้างหรือมีโทษตามกฎหมาย

    6.1 ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้าง (แบบ อ.1)

    ยื่นที่สำนักงานเทศบาล อบต. หรือเขต ในพื้นที่ โดยต้องใช้แบบก่อสร้างจากวิศวกรหรือสถาปนิก พร้อมใบประกอบวิชาชีพ

    6.2 ขอบ้านเลขที่/เลขที่ก่อสร้างชั่วคราว

    หากเป็นบ้านหรืออาคารใหม่ จะต้องขอเลขที่บ้านชั่วคราวก่อนใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาได้

    6.3 การแจ้งรื้อถอน (ถ้ามี)

    หากมีการรื้อถอนโครงสร้างเดิม ต้องแจ้งต่อหน่วยงานท้องถิ่นก่อนดำเนินการ

    6.4 ขออนุญาตวางวัสดุก่อสร้างบนทางสาธารณะ (ถ้าจำเป็น)

    หากต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะในการตั้งนั่งร้านหรือวางของ ควรยื่นขออนุญาตล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับชุมชน

    สรุป ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง คืออะไร

    ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง คือ รากฐานของความสำเร็จในทุกโครงการ หากทำอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างทรุด รั่วซึม ล่าช้า หรือค่าใช้จ่ายเกินงบ

    เจ้าของบ้านหรือเจ้าของโครงการควรทำงานร่วมกับวิศวกรและ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่มีประสบการณ์ตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมพื้นที่ เพื่อวางแผนตั้งแต่การสำรวจ ปรับหน้าดิน ถมดิน และจัดทำเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน

    หากคุณกำลังจะเริ่มโครงการก่อสร้างใหม่ การให้ความสำคัญกับขั้นตอนเบื้องต้นนี้ จะช่วยประหยัดทั้งเวลา งบประมาณ และความยุ่งยากในอนาคตได้อย่างแน่นอน

    ติดต่อเราเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม!

  • สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ราคา

    29 July 2025

    สารบัญ

    ในยุคที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวและแนวโน้มธุรกิจขนาดเล็ก–กลางยังเติบโตต่อเนื่อง การลงทุนสร้างอาคารพาณิชย์จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมทั้งเพื่อค้าขาย เปิดสำนักงาน หรือปล่อยเช่า หลายคนสนใจ “สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น” ด้วยขนาดกำลังดี ใช้งานหลากหลาย และไม่ต้องใช้งบประมาณสูงเกินไป

    บทความนี้จะพาคุณไปดูว่าในปี 2568 การสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ราคาประมาณเท่าไหร่ ปัจจัยใดส่งผลต่อค่าใช้จ่าย และจะแบ่งงบประมาณอย่างไรให้ไม่บานปลาย พร้อมตัวอย่างแบบอาคารที่เป็นที่นิยมในตลาด พร้อมเทคนิคเลือก รับเหมาก่อสร้าง เพื่อให้โครงการของคุณจบได้ตรงงบและตรงเป้าหมาย

    สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น

    1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาในการสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น

    ก่อนประเมินราคาสร้างอาคารพาณิชย์ ต้องเข้าใจก่อนว่า “ต้นทุน” ไม่ได้มาจากโครงสร้างอาคารเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงองค์ประกอบหลากหลาย เช่น

    1.1 ขนาดพื้นที่ใช้สอย (ตร.ม.)

    ยิ่งอาคารมีพื้นที่มาก งบก่อสร้างก็ยิ่งเพิ่ม เช่น อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ขนาด 4×12 เมตร (96 ตร.ม.) ราคาจะต่ำกว่าขนาด 5×20 เมตร (200 ตร.ม.)

    1.2 วัสดุก่อสร้าง

    วัสดุพื้นฐาน เช่น ปูน เหล็ก อิฐ คอนกรีต ราคาคงที่ตามตลาด แต่การเลือกวัสดุตกแต่ง เช่น กระเบื้อง สุขภัณฑ์ ประตูหน้าต่าง จะเป็นตัวดันงบให้สูงขึ้นหรือลดลง

    1.3 ระบบไฟฟ้าและสุขาภิบาล

    จำนวนปลั๊ก สวิตช์ โคมไฟ ระบบท่อสุขาภิบาล ระบบน้ำทิ้ง และปั๊มน้ำล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่มักมองข้ามแต่ส่งผลต่อราคาสุดท้าย

    1.4 สภาพที่ดิน

    หากที่ดินต้องถมเพิ่มเติม มีความชัน หรืออยู่ในพื้นที่เข้าถึงยาก เช่น ไม่มีทางรถเข้า อาจทำให้ค่าแรงหรือเวลาการก่อสร้างเพิ่มขึ้น

    1.5 การออกแบบสถาปัตยกรรม

    อาคารดีไซน์โมเดิร์น ใช้กระจกเยอะ หรือมีโครงสร้างพิเศษ เช่น กันสาดยื่น พื้นที่เปลือยเพดาน จะใช้งบสูงกว่าการออกแบบแบบดั้งเดิม

    สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ราคาโดยประมาณในปี 2568

    1. สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ราคาโดยประมาณในปี 2568

    จากการประเมินค่าแรง วัสดุ และระบบต่างๆ ในตลาดก่อสร้างปี 2568 ราคาโดยประมาณของการสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นแบ่งได้ดังนี้:

    2.1 โครงสร้างทั่วไป (ยังไม่ตกแต่ง)

    • พื้นที่ 90–120 ตร.ม.
    • ราคาเริ่มต้นประมาณ 1.3–1.6 ล้านบาท
    • เหมาะสำหรับเจ้าของโครงการที่ต้องการคุมงบไว้ก่อน แล้วค่อยตกแต่งเพิ่มเติม

    2.2 โครงสร้างพร้อมตกแต่งเบื้องต้น

    • รวมพื้น กระเบื้อง ฝ้า ไฟฟ้า สุขาภิบาล และสี
    • ราคาประมาณ 1.8–2.2 ล้านบาท
    • เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการใช้งานได้ทันทีหรือปล่อยเช่าได้เลย

    2.3 โครงสร้างพร้อมตกแต่งครบชุด (พร้อมอยู่)

    • รวมเฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน ระบบแสงสว่างครบ ระบบกันความร้อน กล้องวงจรปิด ฯลฯ
    • ราคาประมาณ 2.3–3 ล้านบาท ขึ้นกับขนาดและเกรดวัสดุ

    หมายเหตุ: ราคานี้ไม่รวมค่าที่ดิน, ค่าขออนุญาตก่อสร้าง, ค่าถมดิน, ค่าระบบพิเศษ เช่น โซลาร์เซลล์ หรือลิฟต์

    1. ตัวอย่างแบบอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นยอดนิยม

    แบบอาคารที่นิยมในปี 2568 จะเน้นความเรียบง่ายแต่ใช้สอยได้หลากหลาย เหมาะทั้งเพื่ออยู่อาศัยและทำธุรกิจ

    3.1 อาคารพาณิชย์ 2 คูหา ขนาด 4×16 เมตรต่อคูหา

    • พื้นที่ใช้สอยประมาณ 128 ตร.ม.
    • ชั้นล่างเป็นร้านค้า–สำนักงาน
    • ชั้นบนเป็นห้องพักอาศัย 1–2 ห้อง
    • ราคาก่อสร้างประมาณ 3.6–4.2 ล้านบาท (พร้อมตกแต่ง)

    3.2 อาคารทรงโมเดิร์น

    • หน้ากว้าง 5 เมตร ลึก 20 เมตร
    • กระจกหน้ากว้าง โปร่ง โล่ง พร้อมระแนงกันแดด
    • เหมาะสำหรับโชว์รูม ร้านอาหาร หรือคลินิก
    • งบประมาณอยู่ที่ 2–2.5 ล้านบาท

    3.3 อาคารพาณิชย์พร้อมที่จอดรถหน้าบ้าน

    • หน้ากว้าง 6 เมตร ลึก 15 เมตร
    • จอดรถได้ 1–2 คัน หน้าบ้าน
    • ชั้นบนออกแบบเป็นห้องพัก 2 ห้องนอน
    • งบประมาณเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท (โครงสร้างพร้อมระบบพื้นฐาน)

    คุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย

    1. คำแนะนำในการควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย

    4.1 วางแผนล่วงหน้าด้วย BOQ (Bill of Quantity)

    ควรให้วิศวกรหรือผู้รับเหมาจัดทำรายการประมาณราคาพร้อมปริมาณวัสดุก่อนเริ่มงาน เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้ตรงตามแผน

    4.2 เลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน

    ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุราคาแพงเสมอไป เลือกวัสดุเกรดกลางที่ทนทานแต่ราคาสมเหตุสมผล เช่น กระเบื้องพอร์ซเลนแทนแกรนิตโต้ หรือลามิเนตแทนไม้จริง

    4.3 แยกงบระหว่าง “จำเป็น” และ “เสริม”

    ตั้งงบเฉพาะสิ่งที่จำเป็นก่อน เช่น ระบบไฟฟ้า สุขาภิบาล โครงสร้างหลัก หากมีงบเหลือจึงเพิ่มของตกแต่งหรือระบบอัจฉริยะภายหลัง

    4.4 ตรวจสอบสัญญาก่อสร้างให้ชัดเจน

    เช็กว่ามีการระบุงวดงาน ช่วงเวลา รายการวัสดุอย่างละเอียดหรือไม่ เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่นำไปสู่งบประมาณบานปลาย

    1. เทคนิคเลือกผู้รับเหมาสร้างอาคารพาณิชย์

    ผู้รับเหมาที่ดีจะทำให้โครงการของคุณเป็นไปตามแผน ทั้งเรื่องคุณภาพ เวลา และงบประมาณ

    5.1 ตรวจสอบประสบการณ์

    เลือกบริษัทที่มีผลงานสร้างอาคารพาณิชย์โดยตรง ยิ่งมีโครงการที่คล้ายกับที่คุณต้องการจะสร้าง ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น

    5.2 ขอใบเสนอราคาเปรียบเทียบ 2–3 ราย

    เพื่อเปรียบเทียบรายการวัสดุ เงื่อนไขการรับประกัน และงวดงาน

    5.3 ดูรีวิวหรือพูดคุยกับลูกค้าเก่า

    การพูดคุยกับลูกค้าที่เคยใช้บริการมาก่อน จะช่วยให้เห็นภาพจริง ทั้งข้อดีและข้อควรระวัง

    5.4 ตรวจสอบใบอนุญาต และเอกสารบริษัท

    เช่น หนังสือรับรองบริษัท, ใบอนุญาตก่อสร้าง, ประกันงาน เพื่อความมั่นใจว่าไม่เกิดปัญหาภายหลัง

    1. แนวโน้มการสร้างอาคารพาณิชย์ในปี 2568

    ในปี 2568 การออกแบบอาคารพาณิชย์มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เช่น

    • อาคารเน้นกระจกและแสงธรรมชาติ
    • รองรับธุรกิจออนไลน์ มีพื้นที่เก็บของด้านหลัง
    • มีระบบ Smart Home หรือ Automation เช่น ไฟเปิดปิดอัตโนมัติ
    • ติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือเตรียมระบบรองรับในอนาคต
    • รองรับ EV Charger หรือพื้นที่จอดรถไฟฟ้า

    สรุป การ สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ในปี 2568

    การ สร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ในปี 2568 มีราคาที่สามารถควบคุมได้ เริ่มต้นตั้งแต่ 1.3–3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาด วัสดุ ระบบ และการตกแต่ง หากวางแผนล่วงหน้าอย่างรอบคอบ และเลือกผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ ก็สามารถสร้างอาคารที่ใช้งานได้จริงในงบประมาณที่ไม่บานปลาย

    อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นไม่เพียงแต่เป็นที่ทำธุรกิจ แต่ยังเป็นสินทรัพย์ระยะยาวที่สร้างรายได้ เช่น ปล่อยเช่า หรือใช้เป็นโฮมออฟฟิศ หากคุณกำลังวางแผนก่อสร้าง การเริ่มต้นจากการศึกษาราคาตลาดและการจัดงบให้ชัดเจนคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้โครงการของคุณสำเร็จได้อย่างมืออาชีพ

    ติดต่อขอใบเสนอราคา

  • สร้างอาคารสำนักงาน

    28 July 2025

    สารบัญ

    อาคารสำนักงาน ไม่ใช่เพียงพื้นที่สำหรับนั่งทำงานเท่านั้น แต่คือศูนย์กลางของการดำเนินธุรกิจ การติดต่อประสานงาน และการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร การวางแผนสร้างอาคารสำนักงานจึงต้องคิดรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันการใช้งาน ความคุ้มค่าในการลงทุน และการเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

    บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกแนวทางการ สร้างอาคารสำนักงาน อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเลือกประเภทอาคาร การออกแบบพื้นที่ภายใน ระบบประกอบต่างๆ ไปจนถึงเทคนิคประหยัดงบและแนวคิดการออกแบบให้สามารถขยายได้ในอนาคต

    ประเภทของอาคารสำนักงาน

    1. ประเภทของอาคารสำนักงาน

    ก่อนเริ่ม สร้างอาคารสำนักงาน จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาคารที่ต้องการสร้างเป็นประเภทใด เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจและการใช้งานระยะยาว

    1.1 อาคารสำนักงานแบบ Standalone

    เป็นอาคารสำนักงานที่สร้างแยกเฉพาะ มักใช้ในธุรกิจที่ต้องการพื้นที่สำหรับทีมงานมาก และเน้นภาพลักษณ์องค์กร เช่น บริษัทด้านการเงิน บริษัทเทคโนโลยี

    ข้อดี

    • สามารถออกแบบตามฟังก์ชันเฉพาะได้เต็มที่
    • มีภาพลักษณ์ชัดเจน
    • สามารถควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด

    1.2 อาคารสำนักงานแบบรวมกับโชว์รูมหรือโกดัง

    นิยมในธุรกิจ SME ที่ต้องการใช้พื้นที่คุ้มค่า เช่น บริษัทจัดจำหน่าย, ผู้ผลิตรายย่อย, ธุรกิจออนไลน์

    ข้อดี:

    • ประหยัดต้นทุน
    • สะดวกต่อการขนส่งและจัดเก็บสินค้า
    • ลดค่าเช่าหรือค่าดำเนินการแยกหลายพื้นที่

    การวางแผนพื้นที่ใช้งาน

    1. การวางแผนพื้นที่ใช้งาน

    การจัดโซนภายในอาคารสำนักงานที่ดีจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ลดความวุ่นวาย และทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจในการใช้งานพื้นที่

    2.1 โซนสำนักงานหลัก (Work Area)

    ควรจัดให้มีความยืดหยุ่น รองรับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งโต๊ะ หรือการขยายทีมในอนาคต เช่น ใช้ระบบโต๊ะแบบ Modular หรือพื้นที่แบบ Open Plan

    2.2 ห้องประชุม

    ขนาดขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงานและลักษณะธุรกิจ โดยทั่วไปควรมีอย่างน้อย 1 ห้องสำหรับประชุม 6–10 คน พร้อมระบบประชุมออนไลน์

    2.3 ห้องผู้บริหาร

    แยกพื้นที่เฉพาะ มีความเป็นส่วนตัว และควรเชื่อมต่อกับห้องประชุมย่อยหรือห้องพักรับรองแขก

    2.4 ห้องน้ำ

    ควรวางแผนให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่รบกวนพื้นที่ทำงานหลัก มีการแยกชาย-หญิง และพื้นที่รองรับผู้พิการถ้าเป็นอาคารขนาดกลางขึ้นไป

    2.5 พื้นที่ส่วนกลาง

    เช่น Pantry, ห้องพักผ่อน, ล็อกเกอร์ส่วนตัว เพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพพนักงาน

    2.6 ลิฟต์และบันไดหนีไฟ (สำหรับอาคารตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป)

    ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอาคารและข้อกำหนดของกรมโยธาธิการ

    ระบบที่ควรคำนึงในการสร้างอาคารสำนักงาน

    1. ระบบที่ควรคำนึงในการสร้างอาคารสำนักงาน

    การเลือกและติดตั้งระบบประกอบอาคารที่มีคุณภาพ จะช่วยให้สำนักงานใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานในระยะยาว

    3.1 ระบบไฟฟ้า

    ควรมีตู้เมนเบรกเกอร์ที่รองรับโหลดในแต่ละโซน มีสายดิน และระบบสำรองไฟ เช่น UPS หรือ Generator สำหรับธุรกิจที่ต้องทำงานต่อเนื่อง

    3.2 ระบบ Data Network

    รวมถึงระบบ LAN, Wi-Fi, Rack Server สำหรับองค์กรยุคใหม่ควรมีระบบเครือข่ายที่รองรับความเร็วสูง และสามารถปรับขยายได้ง่าย

    3.3 ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV)

    ควรติดตั้ง กล้องวงจรปิด ระบบ cctv บริเวณทางเข้า-ออก ห้องเก็บของ และพื้นที่สาธารณะ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกอาคาร

    3.4 ระบบปรับอากาศ

    ขึ้นอยู่กับขนาดอาคารและรูปแบบการใช้งาน เช่น Split Type สำหรับห้องแยก, VRV/VRF สำหรับสำนักงานขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิแยกแต่ละโซน

    3.5 ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)

    ช่วยลดค่าไฟระยะยาว โดยเฉพาะหากอาคารอยู่ในพื้นที่ที่แดดแรงต่อเนื่อง เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ

    3.6 ระบบ Access Control

    ใช้ควบคุมการเข้า-ออก เช่น ประตูระบบคีย์การ์ดหรือสแกนนิ้ว สำหรับอาคารสำนักงานที่มีข้อมูลสำคัญหรือพนักงานจำนวนมาก

    1. งบประมาณโดยประมาณในการสร้างอาคารสำนักงาน

    ต้นทุนการสร้างอาคารสำนักงานจะแตกต่างกันไปตามขนาด พื้นที่ใช้สอย และระบบที่ติดตั้ง แต่สามารถสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้:

    • อาคารสำนักงาน 1 ชั้น ขนาด 100–150 ตร.ม.: เริ่มต้น 1.2–2 ล้านบาท
    • อาคารสำนักงาน 2 ชั้น ขนาด 200–300 ตร.ม.: ประมาณ 3–4.5 ล้านบาท
    • อาคารสำนักงานรวมโกดังหรือโชว์รูม: ประมาณ 4–8 ล้านบาทขึ้นไป (ขึ้นกับวัสดุและฟังก์ชันเพิ่มเติม)

    ราคานี้ไม่รวมค่าที่ดิน ค่าขออนุญาต และระบบพิเศษ เช่น Solar หรือระบบ Fire Alarm แบบเฉพาะ

    1. แนวทางลดต้นทุนในการสร้างอาคารสำนักงาน

    แม้จะต้องการคุณภาพและความครบถ้วนในการใช้งาน แต่อาคารสำนักงานก็สามารถสร้างให้ประหยัดงบได้หากวางแผนดี:

    • ใช้วัสดุสำเร็จรูป เช่น ผนังสำเร็จ, หลังคาเมทัลชีท ช่วยลดเวลาและค่าแรง
    • ออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลดผนัง ลดช่องเปิดที่ไม่จำเป็น
    • ติดตั้งระบบไฟฟ้าแบบแยกโซน พร้อม Sensor ปิดไฟอัตโนมัติ
    • เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED, แอร์ Inverter
    • วางระบบเดินสายไฟ/น้ำให้เป็นสัดส่วน เพื่อง่ายต่อการดูแลรักษา

    รวมโกดังหรือโชว์รูมไว้ในอาคารเดียวกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และลดค่าใช้จ่าย

    แนวคิดการออกแบบอาคารสำนักงาน

    1. ตัวอย่างแนวคิดการออกแบบอาคารสำนักงาน

    6.1 อาคารสำนักงานขนาดเล็ก (50–100 ตร.ม.)

    เหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น หรือออฟฟิศส่วนตัว ออกแบบเป็นชั้นเดียว มีห้องทำงาน 2–3 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง และ Pantry เล็กๆ

    6.2 อาคารสำนักงานขนาดกลาง (150–300 ตร.ม.)

    มีพื้นที่ทำงานรวม ห้องประชุม ห้องผู้บริหาร ห้องน้ำแยกชายหญิง และพื้นที่รับแขก อาจเป็นอาคาร 2 ชั้น และมีโครงสร้างเผื่อขยายชั้น 3

    6.3 อาคารสำนักงานแบบ Hybrid

    รวมโกดังและสำนักงานเข้าด้วยกัน โดยให้สำนักงานอยู่ด้านหน้า และโกดังเก็บสินค้าอยู่ด้านหลัง พร้อม Loading Area และทางเดินรถบรรทุก

    1. แนวคิดการออกแบบเพื่อรองรับอนาคต

    อาคารสำนักงานที่ดีควรพร้อมสำหรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว การวางแผนตั้งแต่แรกช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต

    • ออกแบบโครงสร้างให้รองรับการเพิ่มชั้นในอนาคต
    • ใช้ผนังเบา Modular ที่เปลี่ยนแปลง Layout ได้ง่าย
    • วางแนวท่อและสายไฟเผื่อสำหรับการขยายระบบ IT หรือเครื่องจักร
    • เตรียมพื้นที่สำหรับ Solar Cell หรือ EV Charger หากจะใช้ในอนาคต
    • เผื่อพื้นที่จอดรถและทางเข้า-ออกสำหรับผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น

    สรุป สร้างอาคารสำนักงาน อย่างไรให้คุ้มค่า

    การ สร้างอาคารสำนักงาน ไม่ใช่แค่เรื่องการออกแบบอาคารให้สวยงาม แต่ต้องเริ่มต้นจากการวางแผนระบบให้เหมาะกับลักษณะการทำงาน ควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

    ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานขนาดเล็กที่ประหยัดพื้นที่ หรืออาคารขนาดกลางที่รองรับโชว์รูมและโกดัง ระบบที่เลือกใช้ควรตอบโจทย์ทั้งเรื่องฟังก์ชัน ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน

    หากคุณกำลังวางแผนจะสร้างอาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจของคุณในปี 2568 การเริ่มต้นจากแนวคิดที่รอบด้านเช่นนี้ จะช่วยให้ได้อาคารที่คุ้มค่าการลงทุน ใช้งานได้จริง และพร้อมต่อยอดธุรกิจในระยะยาว

    สนใจวางแผนสร้างอาคารสำนักงานกับเรา ติดต่อเลย!

  • สร้างบ้านใช้อะไรบ้าง

    27 July 2025

    สารบัญ

    การสร้างบ้านสักหลังไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของแบบบ้านหรือขนาดพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเลือกวัสดุ อุปกรณ์ และระบบต่างๆ ที่ประกอบกันเป็น “บ้านที่อยู่สบาย ปลอดภัย และใช้งานได้จริง” คำถามที่เจ้าของบ้านหลายคนมักมีคือ สร้างบ้านใช้อะไรบ้าง ซึ่งหากรู้ตั้งแต่ต้นก็จะช่วยให้สามารถวางแผนงบประมาณ ควบคุมคุณภาพ และป้องกันปัญหาในระยะยาวได้

    บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ วัสดุหลักที่ใช้ในการสร้างบ้าน ระบบประกอบที่สำคัญ อุปกรณ์ที่จำเป็น และแนวโน้มเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะในปี 2568 พร้อมคำแนะนำสำหรับการเลือกใช้วัสดุให้คุ้มค่าโดยไม่ลดคุณภาพ

    วัสดุ สร้างบ้าน

    1. วัสดุก่อสร้างหลักที่ใช้ในการสร้างบ้าน

    เมื่อพูดถึงคำว่า “สร้างบ้านใช้อะไรบ้าง” สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก็คือ “วัสดุก่อสร้างหลัก” ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของบ้าน ได้แก่

    • ปูนซีเมนต์

    ใช้สำหรับงานก่อ ฉาบ เทคอนกรีต พื้น ผนัง บันได โดยจะใช้ร่วมกับทราย หิน น้ำ เพื่อผสมเป็นคอนกรีตหรือมอร์ตาร์ ควรเลือกยี่ห้อที่มีมาตรฐาน เช่น ปูนปอร์ตแลนด์ประเภท 1 หรือ 3 ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน

    • เหล็ก

    เป็นวัสดุโครงสร้างที่ใช้ในงานเสริมคอนกรีต เช่น เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย เหล็กกล่อง เหล็ก I-beam สำหรับหลังคาและโครงสร้างอื่นๆ โดยคุณภาพเหล็กควรได้มาตรฐาน มอก.

    • อิฐ

    อิฐมอญ อิฐบล็อก อิฐมวลเบา เป็นวัสดุสำหรับก่อผนังแต่ละชนิดมีข้อดีต่างกัน เช่น อิฐมวลเบาเบา ติดตั้งง่าย กันความร้อนได้ดี แต่อิฐมอญมีความแข็งแรงมากกว่าในระยะยาว

    • คอนกรีต

    ใช้ในงานเทเสา คาน พื้น บางครั้งใช้คอนกรีตผสมเสร็จจากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพ งานคอนกรีตที่ดีจะมีการวางแบบและเทภายในเวลาที่เหมาะสม พร้อมบ่มน้ำอย่างถูกวิธี

    • ไม้หรือวัสดุทดแทนไม้

    เช่น ไม้จริง ไม้เทียม (WPC, ไฟเบอร์ซีเมนต์) ใช้สำหรับงานตกแต่ง พื้น ผนัง ฝ้า หรือเฟอร์นิเจอร์บิลต์อิน

    • กระเบื้อง

    ใช้ในงานพื้น ผนังห้องน้ำ เคาน์เตอร์ มีทั้งกระเบื้องเซรามิก กระเบื้องแกรนิตโต้ และวัสดุปูพื้นอื่นๆ เช่น ไวนิล ลามิเนต

    • กระจกและอลูมิเนียม

    สำหรับประตู หน้าต่าง และช่องแสง โดยต้องเลือกชนิดที่เหมาะสม เช่น กระจกเขียวตัดแสง กระจกนิรภัย กระจกเทมเปอร์

    ระบบประกอบ สร้างบ้าน

    1. ระบบประกอบที่เจ้าของบ้านควรรู้

    นอกจากวัสดุก่อสร้างหลัก ยังมีระบบเสริมที่จำเป็นในการใช้งานจริง ได้แก่

    • ระบบไฟฟ้า

    ประกอบด้วยสายไฟ, ท่อร้อยสาย, ตู้เมนเบรกเกอร์, สวิตช์, ปลั๊ก, โคมไฟ ระบบไฟฟ้า ภายในบ้านควรออกแบบโดยวิศวกรไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย และมีระบบสายดินครบถ้วน

    • ระบบประปาและสุขาภิบาล

    ประกอบด้วยท่อน้ำดี ท่อน้ำเสีย ถังบำบัด ถังเก็บน้ำ เครื่องปั๊มน้ำ และสุขภัณฑ์ ต้องวางแผนตั้งแต่แรกเพื่อไม่ให้ท่อน้ำขัดกับระบบอื่นในบ้าน และควรมีบ่อดักไขมันในบ้านที่มีครัวหนัก

    • ระบบกันซึม

    ใช้กับหลังคา ห้องน้ำ ระเบียง หรือพื้นดาดฟ้า เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม เช่น การใช้แผ่นกันซึม (Membrane), ปูนกันซึม หรือเคมีซีลรอยต่อ

    • ระบบป้องกันปลวก

    มักวางท่อฉีดสารเคมีใต้พื้นอาคาร หรือติดตั้งระบบเหยื่อเพื่อกำจัดปลวกระยะยาว ช่วยยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างและเฟอร์นิเจอร์ไม้

    • ระบบบำบัดน้ำเสีย

    สำคัญสำหรับบ้านขนาดกลางขึ้นไป โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำสาธารณะ อาจใช้ถังบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่หรือระบบบำบัดรวม

    อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง

    1. อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง

    คำถามที่ว่า สร้างบ้านใช้อะไรบ้าง ยังรวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งแม้เจ้าของบ้านไม่ต้องซื้อเอง แต่ควรเข้าใจไว้เพื่อการตรวจสอบและควบคุมงาน

    • เครื่องมือช่างพื้นฐาน

    เช่น เกรียง ตลับเมตร ระดับน้ำ ค้อน ไขควง ลูกดิ่ง ใช้ในงานก่อ ฉาบ เดินสายไฟ ประกอบโครงสร้างเบา

    • เครื่องจักรหนัก

    เช่น รถขุด รถแบคโฮ รถผสมคอนกรีต เครื่องตัดเหล็ก เครื่องสกัดไฟฟ้า มักใช้ในช่วงโครงสร้าง

    • นั่งร้านและอุปกรณ์เซฟตี้

    ใช้สำหรับงานที่สูง เช่น ฉาบผนังติดตั้งหลังคา ต้องมีนั่งร้านที่ได้มาตรฐาน และอุปกรณ์ป้องกันภัยเช่น หมวกนิรภัย เชือกกันตก

    Smart Home สำหรับสร้างบ้าน

    1. เทคโนโลยี Smart Home ที่นิยมในปี 2568

    บ้านยุคใหม่ในปี 2568 นิยมติดตั้งระบบอัจฉริยะเพื่อความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ตัวอย่างระบบ Smart Home ได้แก่

    • ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ

    สามารถควบคุมไฟฟ้า ปลั๊ก สวิตช์ผ่านแอปมือถือ สั่งงานด้วยเสียง และตั้งเวลาการเปิด-ปิดไฟได้

    • กล้องวงจรปิด และระบบรักษาความปลอดภัย

    ติดตั้งกล้อง IP, Motion Sensor, ระบบเปิดประตูด้วยใบหน้า/ลายนิ้วมือ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    • ระบบควบคุมอุณหภูมิ

    ปรับแอร์หรือพัดลมได้อัตโนมัติตามอุณหภูมิในห้อง ช่วยประหยัดพลังงาน

    • ลำโพงอัจฉริยะและระบบมัลติมีเดีย

    รองรับการควบคุมเสียงอัตโนมัติทั้งบ้าน ใช้เป็นศูนย์กลางควบคุม Smart Home ได้

    • ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

    ติดตั้ง Solar Cell เพื่อประหยัดค่าไฟ และระบบ Smart Meter สำหรับตรวจสอบการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์

    1. วิธีเลือกวัสดุให้คุ้มค่าแต่คุณภาพดี

    การเลือกวัสดุในการสร้างบ้านไม่ควรเลือกแต่ราคาถูกที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น

    1. เปรียบเทียบวัสดุเทียบเคียงจากหลายผู้ผลิต พร้อมดูมาตรฐาน มอก.
    2. เลือกวัสดุที่มีการรับประกันสินค้า หรือบริการหลังการขาย
    3. เน้นวัสดุที่ทนต่อสภาพอากาศในพื้นที่ เช่น บ้านภาคเหนือควรใช้วัสดุเก็บความร้อนได้ดี
    4. พิจารณาค่าใช้จ่ายดูแลรักษา เช่น พื้นลามิเนตราคาถูกกว่าไม้จริง แต่เสื่อมเร็วกว่ามาก
    5. ใช้ ผู้รับเหมา ที่รู้จักวัสดุเป็นอย่างดีและสามารถแนะนำทางเลือกที่เหมาะกับงบประมาณ

    สรุป สร้างบ้านที่ดีใช้อะไรบ้าง?

    การสร้างบ้านให้ดีไม่ใช่แค่เลือกแบบสวยงามหรือจ้างช่างฝีมือดีเท่านั้น แต่ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจว่า สร้างบ้านใช้อะไรบ้าง ตั้งแต่วัสดุหลัก อุปกรณ์ เครื่องมือ ไปจนถึงระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ และเทคโนโลยีเสริมในยุคใหม่

    หากเจ้าของบ้านสามารถวางแผนและเลือกวัสดุได้อย่างมีเหตุผล โดยเน้นความคุ้มค่าและคุณภาพเป็นหลัก ก็จะได้บ้านที่อยู่สบาย มีอายุการใช้งานยาวนาน และไม่เกิดปัญหาซ้ำซ้อนในอนาคต

    การเลือกวัสดุอย่างชาญฉลาดในวันนี้ คือการลงทุนในชีวิตประจำวันของคุณในระยะยาว

    สนใจติดต่อ plantoprompt

  • งานก่อสร้างอาคาร

    26 July 2025

    งานก่อสร้างอาคาร เป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน โรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างสาธารณะ งานก่อสร้างอาคาร นั้นไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การวางโครงสร้างเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย หลายระบบ และหลายแขนงวิชาชีพ เพื่อให้อาคารหนึ่งหลังสามารถใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

    บทความนี้จะสรุป ประเภทของงานก่อสร้างอาคาร พร้อมอธิบายกระบวนการทำงานจริงในไซต์งาน ใครเกี่ยวข้องบ้าง และจะควบคุมคุณภาพกับความปลอดภัยอย่างไร เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของการ รับเหมาก่อสร้าง อย่างครบถ้วน

    ประเภทของงานก่อสร้างอาคาร

    ประเภทของงานก่อสร้างอาคาร

    งานก่อสร้างอาคารสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่:

    1. งานโครงสร้าง (Structural Work)
    2. งานระบบประกอบอาคาร (Building Services / MEP)
    3. งานสถาปัตยกรรม (Architectural Work)
    1. งานโครงสร้าง (Structural Work)

    เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของอาคาร เพราะเป็นโครงสร้างหลักที่รองรับน้ำหนักและให้ความมั่นคงปลอดภัย งานโครงสร้างสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น:

    • งานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete) เช่น ฐานราก เสา คาน พื้น
    • งานโครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) เช่น โครงหลังคา โรงงานขนาดใหญ่
    • งานเสาเข็มและฐานรากลึก เช่น เสาเข็มเจาะ เสาเข็มตอก

    ในบางโครงการอาจใช้ระบบโครงสร้างผสม เช่น เสา-คานเป็นคอนกรีต แต่โครงหลังคาเป็นเหล็ก เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและประหยัดต้นทุน

    1. งานระบบประกอบอาคาร (Building Services / MEP)

    ระบบประกอบอาคารคือระบบที่ทำให้อาคารใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไฟฟ้า น้ำ หรือความปลอดภัย ประกอบด้วย:

    • ระบบไฟฟ้าและสื่อสาร (Electrical & Communication Systems) เช่น ตู้เมนไฟ สายไฟ แสงสว่าง ระบบ LAN
    • ระบบสุขาภิบาล (Sanitary System) เช่น ท่อน้ำดี น้ำเสีย ถังบำบัด
    • ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC) เช่น แอร์ Duct พัดลมระบาย
    • ระบบป้องกันอัคคีภัย (Fire Protection) เช่น สปริงเกลอร์ เครื่องดับเพลิง สัญญาณเตือนเพลิงไหม้

    งานระบบเหล่านี้ต้องออกแบบร่วมกันกับสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เกิดการแก้ไขซ้ำในภายหลัง

    1. งานสถาปัตยกรรม (Architectural Work)

    งานสถาปัตย์คือส่วนที่ทำให้อาคาร “สวยงาม” และ “อยู่ได้จริง” ได้แก่:

    • งานผนัง ฉาบปูน ติดกระเบื้อง ปูกระเบื้อง
    • งานติดตั้งประตู-หน้าต่าง อลูมิเนียม กระจก
    • งานหลังคา ระบบกันซึม
    • งานตกแต่งภายใน ผิวผนัง เพดาน สี
    • งานภูมิทัศน์รอบอาคาร (Landscape)

    งานสถาปัตย์จะเป็นช่วงหลังสุดของโครงการก่อสร้าง แต่ต้องอาศัยการเตรียมพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น เช่น จุดท่อน้ำ จุดไฟ จุดยึดอุปกรณ์ตกแต่ง ต้องวางไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกับแบบ

    ขั้นตอนการดำเนินงานจริงในไซต์ก่อสร้าง

    ขั้นตอนการดำเนินงานจริงในไซต์ก่อสร้าง

    แม้ว่าการก่อสร้างอาคารแต่ละประเภทจะมีรายละเอียดต่างกัน แต่โครงสร้างหลักของกระบวนการดำเนินงานมักแบ่งได้เป็นลำดับขั้น ดังนี้:

    1. การเตรียมงานก่อนก่อสร้าง
    2. งานโครงสร้างหลัก
    3. งานระบบประกอบอาคาร
    4. งานสถาปัตยกรรม
    5. งานตรวจสอบและทดสอบระบบ
    6. งานเก็บรายละเอียดและส่งมอบงาน
    1. การเตรียมงานก่อนก่อสร้าง

    • เคลียร์พื้นที่ก่อสร้าง รื้อถอน (ถ้ามี)
    • ตั้งแนวระดับและหมุดอ้างอิง
    • วางแผนผังการทำงานในไซต์ เช่น ตำแหน่งปั้นจั่น จุดเก็บวัสดุ
    • ตั้งสำนักงานไซต์ชั่วคราวและระบบน้ำ-ไฟชั่วคราว
    1. งานโครงสร้างหลัก

    • งานเสาเข็ม ฐานราก
    • งานเสา คาน พื้น
    • งานโครงหลังคา (คอนกรีตหรือเหล็ก)
    • งานบันไดคอนกรีตหรือโครงสร้างประกอบ

    ขั้นตอนนี้ต้องใช้การตรวจสอบคุณภาพวัสดุ เช่น การทดสอบคอนกรีต ความลึกเสาเข็ม ความเรียบของแบบหล่อ

    1. งานระบบประกอบอาคาร

    • เดินท่อน้ำดี น้ำเสีย ฝังใต้พื้นหรือผนัง
    • เดินท่อไฟฟ้าในพื้น หรือในฝ้าเพดาน
    • ติดตั้งตู้ไฟเมนสายเมน
    • วางระบบแอร์/ท่อระบายอากาศ

    การประสานงานระหว่างช่างระบบและช่างโครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้ หากขาดการวางแผน อาจต้องเจาะพื้น/ผนังเพื่อเดินท่อซ้ำ

    1. งานสถาปัตยกรรม

    • ฉาบปูน เก็บผิว
    • ติดตั้งฝ้า เพดาน ระแนง
    • ติดตั้งกระจก อลูมิเนียม
    • ติดตั้งประตู หน้าต่าง
    • ปูพื้น / ทาสี
    • ติดตั้งสุขภัณฑ์

    ขั้นตอนนี้เป็นภาพที่ลูกค้าจะเห็นชัดเจนที่สุด จึงต้องควบคุมคุณภาพเป็นพิเศษ เช่น สีต้องเรียบสม่ำเสมอ แนวกระเบื้องตรง ไม่หลุดล่อน

    1. งานตรวจสอบและทดสอบระบบ

    • ทดสอบระบบไฟฟ้า – เบรกเกอร์ ระบบแสงสว่าง
    • ทดสอบระบบน้ำ – ตรวจสอบแรงดัน ท่อรั่วซึมหรือไม่
    • ทดสอบระบบแอร์ และการหมุนเวียนอากาศ
    • ทดสอบระบบดับเพลิง เช่น Fire Alarm และ Sprinkler
    • ตรวจสอบโครงสร้างอีกครั้งโดยวิศวกรควบคุม
    1. งานเก็บรายละเอียดและส่งมอบงาน

    • เก็บงานเก็บสี เก็บซิลิโคน ซ่อมผิวงาน
    • ติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ / อุปกรณ์ตกแต่ง
    • ทำความสะอาด

    ส่งมอบงานให้เจ้าของโครงการ พร้อมคู่มือการใช้งานระบบ

    ผู้เกี่ยวข้องในงานก่อสร้างแต่ละช่วง

    ผู้เกี่ยวข้องในงานก่อสร้างแต่ละช่วง

    งานก่อสร้างอาคารเป็นความร่วมมือของหลายวิชาชีพ โดยแต่ละฝ่ายมีบทบาทดังนี้:

    • สถาปนิก: ออกแบบภาพรวม สไตล์ ฟังก์ชัน และประสานการออกแบบทั้งหมด
    • วิศวกรโยธา: ออกแบบโครงสร้าง คำนวณน้ำหนัก ตรวจสอบความมั่นคง
    • วิศวกรระบบ (MEP): ออกแบบไฟฟ้า สุขาภิบาล แอร์ ป้องกันไฟ
    • ผู้รับเหมา: วางแผนงาน จัดคน จัดวัสดุ ควบคุมหน้างาน
    • ช่างเทคนิค: ช่างโครงสร้าง ช่างระบบไฟฟ้า ช่างประปา ช่างสถาปัตย์
    • ผู้ควบคุมงาน (Site Engineer): ตรวจสอบงานตามแบบ แก้ไขหน้างาน ประสานผู้รับเหมา
    • ผู้ตรวจสอบอาคาร (ถ้ามี): ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนใช้งานจริง 

    วิธีควบคุมคุณภาพในงานก่อสร้าง

    1. ใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน และตรวจรับวัสดุก่อนใช้งาน
    2. ตรวจสอบคุณภาพงานแต่ละขั้นตอน เช่น การเทคอนกรีต การเชื่อมเหล็ก
    3. มีการตรวจสอบแบบ (Shop Drawing) กับหน้างาน
    4. เก็บบันทึกภาพและรายงานความคืบหน้า
    5. ทำการทดสอบระบบ (Testing & Commissioning) ก่อนส่งมอบ
    6. ส่งมอบคู่มือการใช้งาน และแบบ As-built Drawing ให้เจ้าของโครงการ 

    ความปลอดภัยในงานก่อสร้าง

    ไซต์ก่อสร้างมีความเสี่ยงสูง จึงต้องควบคุมความปลอดภัยอย่างจริงจัง เช่น:

    • การฝึกอบรมพนักงานเรื่องความปลอดภัย
    • การสวมใส่อุปกรณ์นิรภัย เช่น หมวก รองเท้า ถุงมือ
    • มีป้ายเตือน จุดล้างตา และอุปกรณ์ดับเพลิง
    • มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.) ตรวจสอบตามกฎหมาย
    • หมั่นตรวจสอบนั่งร้าน เครื่องมือ และสายไฟอยู่เสมอ
    • มีแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินกรณีอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ 

    สรุป งานก่อสร้างอาคาร มีกี่ประเภท?

    งานก่อสร้างอาคาร เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่าย ตั้งแต่งานโครงสร้าง งานระบบ และงานสถาปัตย์ หากไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบและการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานอาคารภายหลังได้

    การเข้าใจ ประเภทของงานก่อสร้าง และขั้นตอนในแต่ละช่วง จะช่วยให้เจ้าของโครงการ วิศวกร หรือแม้แต่ช่างทั่วไปสามารถวางแผน ตรวจสอบ และส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพและปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์

    หากคุณต้องการตัวอย่างแบบแปลน รายการวัสดุ (BOQ) หรือคำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกผู้รับเหมาให้ตรงกับประเภทอาคาร สามารถแจ้งได้ ผมยินดีจัดทำให้ตามความต้องการของคุณ

    ติดต่อเราเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม

  • แบบโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก

    25 July 2025

    สารบัญ

    ไอเดียแบบโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก – สวย เรียบ ประหยัดพื้นที่ แต่จัดเก็บได้มาก

    ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ ทั้งค้าส่ง-ออนไลน์ พร้อมสำนักงานและ Loading Zone

    ในยุคที่ธุรกิจขนาดเล็กและ SME เติบโตแบบรวดเร็ว โดยเฉพาะสาย ค้าส่งรายย่อย, ขายของออนไลน์, ตัวแทนจำหน่าย, หรือแม้แต่ธุรกิจ Startup การมีโกดังขนาดกะทัดรัดแต่ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นสิ่งจำเป็น

    แบบโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก จึงกลายมาเป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะ

    • สร้างง่าย เร็ว ประหยัดงบ
    • โครงสร้างเรียบง่าย แต่สวย ทันสมัย
    • พื้นที่จัดเก็บสูง ใช้งานได้จริง
    • มีสำนักงาน, ห้องน้ำ, Loading Zone ครบในตัว

    บทความนี้จะพาไปดูแนวทางออกแบบ โกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก อย่างมืออาชีพ ตั้งแต่ สไตล์, แบบแปลน, วัสดุ, งบประมาณ, ระยะเวลาก่อสร้าง รวมถึงเคล็ดลับการเลือกแบบให้เหมาะกับพื้นที่และธุรกิจของคุณ

    โกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก คืออะไร?

    1. โกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก คืออะไร?

    โกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก คือ อาคารเก็บสินค้าแนวเรียบเท่ทันสมัย มักมีขนาดพื้นที่ใช้สอยระหว่าง 100–400 ตร.ม. ออกแบบให้

    • ดูดีแบบ Minimal
    • ใช้โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
    • หลังคาทรงเพิงหมาแหงน หรือหลังคาแบน
    • มีสำนักงานในตัว และพื้นที่ Loading ด้านหน้า

    เหมาะกับผู้ที่มีที่ดินจำกัด แต่ต้องการพื้นที่จัดเก็บของจำนวนมาก พร้อมออฟฟิศเล็ก ๆ ในตัว

    โครงสร้างสไตล์โกดังโมเดิร์นที่นิยม

    2. โครงสร้างสไตล์โกดังโมเดิร์นที่นิยม

    โครงสร้างเหล็ก (Steel Frame)

    • ติดตั้งง่าย รวดเร็ว แข็งแรง
    • รองรับหลังคาเพิงหมาแหงน และผนังแบบ Sandwich Panel
    • มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 20 ปี

    หลังคาเพิงหมาแหงน (Mono-Slope)

    • ระบายน้ำฝนได้ดี
    • ดูทันสมัยเรียบเท่ เหมาะกับยุคใหม่
    • ติด Solar Roof ได้ง่าย (หากวางทิศทางดี)

    ผนังเมทัลชีทหรือ Sandwich Panel

    • กันความร้อนได้ดี
    • น้ำหนักเบา ติดตั้งเร็ว
    • ทำให้ภายในเย็นลงโดยไม่ต้องใช้แอร์หนัก

    ฟังก์ชันยอดนิยมที่ควรมีในโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก

    3. ฟังก์ชันยอดนิยมที่ควรมีในโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก

    ฟังก์ชัน

    รายละเอียด

    สำนักงานในตัว พื้นที่ขนาด 10–30 ตร.ม. อยู่ในหรือข้างโกดัง ใช้เป็นออฟฟิศ, รับของ, แอดมิน
    Loading Zone ด้านหน้า พื้นที่สำหรับรถกระบะหรือ 6 ล้อ เข้าจอดรับ-ส่งสินค้า
    ห้องน้ำ + Pantry สำหรับพนักงานใช้ ทำให้ไม่ต้องเดินไกล
    พื้นที่จัดเก็บแนวสูง เพดานสูง 4–6 เมตร ใช้ชั้นเหล็กหรือ Pallet Rack

    การออกแบบที่ดีต้องเน้น “ไหลเวียนการขนของ” ตั้งแต่รับของ → เก็บ → จัดส่ง

    4. แบบแปลนโกดังโมเดิร์นขนาดเล็กที่น่าสนใจ

    แบบที่ 1: ขนาด 10×15 เมตร (150 ตร.ม.)

    เหมาะสำหรับ ธุรกิจออนไลน์ที่มีสินค้าไม่ใหญ่มาก เช่น เสื้อผ้า, เครื่องสำอาง, Gadget

    • พื้นที่เก็บของ: 120 ตร.ม.
    • สำนักงานในตัว: 15 ตร.ม.
    • Loading ด้านหน้า: 15 ตร.ม.

    โครงสร้าง: โครงเหล็ก หลังคาเมทัลชีท+PU / ผนังเมทัลชีท
    เพดาน: สูง 5 เมตร
    งบประมาณโดยประมาณ: 850,000 – 1,200,000 บาท
    ระยะเวลาก่อสร้าง: 30–45 วัน

    แบบที่ 2: ขนาด 12×25 เมตร (300 ตร.ม.)

    เหมาะสำหรับ ค้าส่งขนาดเล็ก-กลาง เช่น อาหารแห้ง, อะไหล่, เครื่องใช้ไฟฟ้า

    • พื้นที่จัดเก็บหลัก: 200 ตร.ม.
    • ออฟฟิศ + ห้องประชุม: 30 ตร.ม.
    • Loading Zone: 70 ตร.ม. (มีหลังคาคลุม)

    วัสดุแนะนำ:

    • โครงเหล็ก H-Beam
    • ผนัง Sandwich Panel หนา 5 ซม.
    • พื้นขัดมันรองรับ Forklift ได้

    งบประมาณโดยประมาณ: 1.8 – 2.5 ล้านบาท

    ระยะเวลาก่อสร้าง: 60–90 วัน

    วัสดุที่แนะนำสำหรับโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก

    5. วัสดุที่แนะนำสำหรับโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก

    ส่วนประกอบ

    วัสดุแนะนำ

    จุดเด่น

    โครงสร้าง

    เหล็ก H-Beam / C-Beam แข็งแรง น้ำหนักเบา ติดตั้งเร็ว

    หลังคา

    เมทัลชีท + PU Foam

    กันร้อน กันเสียง ลดหยดน้ำ

    ผนัง

    Sandwich Panel / เมทัลชีท

    กันร้อน สะอาด ดูโมเดิร์น

    พื้น

    คอนกรีตขัดมัน / Epoxy

    รับน้ำหนักได้ดี ทำความสะอาดง่าย

    ประตู ประตูเหล็กบานเลื่อน / ไฟเบอร์

    รองรับรถเข้า-ออกได้

    วัสดุที่ดีควรเน้น “ทนร้อน – กันเสียง – ป้องกันฝุ่น” โดยเฉพาะถ้าเก็บสินค้าที่ไวต่อสภาพแวดล้อม

    6. ระบบสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

    ระบบไฟฟ้า

    • ควรใช้ ระบบ 3 เฟส หากใช้เครื่องแพ็ค, แอร์, หรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่
    • แยกตู้เบรกเกอร์ออฟฟิศ – โกดัง
    • ติดตั้งไฟส่องสว่าง LED ให้พอสำหรับการหยิบ-แพ็คสินค้า

    ระบบระบายอากาศ

    • ติดตั้ง พัดลมระบายอากาศ หรือ บานเกล็ดลม รอบตัวอาคาร
    • หากใช้งานตลอดวัน ควรมี แผงระบายอากาศธรรมชาติ (Ventilation Panel)
    • ถ้าต้องติดแอร์ในออฟฟิศ ควรแยกพื้นที่ให้ชัดเจนจากโกดัง

    งบประมาณและระยะเวลาก่อสร้าง

    7. งบประมาณและระยะเวลาก่อสร้าง

    ขนาดโกดัง งบประมาณโดยประมาณ ระยะเวลา
    100–150 ตร.ม. 700,000 – 1.2 ล้านบาท 30–45 วัน
    200–300 ตร.ม. 1.5 – 2.5 ล้านบาท 45–90 วัน
    400–500 ตร.ม. 2.5 – 3.5 ล้านบาท 60–120 วัน

    ราคาจะเปลี่ยนแปลงตามวัสดุ, ระบบ, พื้นที่ใช้งาน และค่าแรงในแต่ละพื้นที่

    8. เหตุผลที่ธุรกิจขนาดเล็กควรเลือกโกดังสไตล์โมเดิร์น

    • ต้นทุนต่ำกว่าการเช่าโกดังระยะยาว
    • สร้างเป็นทรัพย์สินถาวร ขายต่อหรือปล่อยเช่าได้
    • ปรับฟังก์ชันใช้งานตามสไตล์ธุรกิจของคุณ
    • ประหยัดพลังงาน และดูดีทั้งภายนอกภายใน
    • เหมาะกับยุค e-commerce ที่ต้องมีคลังสินค้าใกล้บ้าน

    9. เคล็ดลับออกแบบโกดังให้เวิร์กจริง

    1. วาง Flow สินค้าให้ดี – คิดตั้งแต่จุดรับของเข้า → สต๊อก → แพ็ค → ส่ง
    2. แบ่งออฟฟิศกับโกดังชัดเจน – ป้องกันฝุ่น เสียง และอุณหภูมิ
    3. เผื่อพื้นที่ขยายในอนาคต – เช่น ทำชั้นลอย หรือเพิ่ม Loading เพิ่มได้
    4. ใช้วัสดุที่บำรุงรักษาง่าย – เช่น ผนังล้างได้, พื้นไม่ดูดฝุ่น
    5. วางระบบไฟและน้ำไว้ตั้งแต่แรก – ป้องกันต้องรื้อแก้ทีหลัง

    สรุป แบบโกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก สร้างน้อยแต่ได้พื้นที่มาก

    หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือมีสินค้าสำหรับจัดเก็บและกระจาย ไม่ว่าจะเป็นขายออนไลน์หรือค้าส่งในพื้นที่ โกดังโมเดิร์นขนาดเล็ก คือคำตอบที่ลงตัวที่สุด

    จุดเด่น

    รายละเอียด

    รูปแบบทันสมัย โครงเหล็ก + ผนังเมทัลชีท / Sandwich Panel
    มีสำนักงานในตัว ใช้จัดการเอกสาร พนักงานประจำ
    Loading Zone รับ-ส่งสินค้าได้อย่างเป็นระบบ
    พื้นที่จัดเก็บเยอะ เพดานสูง จัดของได้ 2–3 ชั้น
    งบคุมได้ เริ่มต้น 700,000 บาท พร้อมใช้งานใน 1–3 เดือน

     

  • แบบโรงงานขนาดเล็ก

    24 July 2025

    สารบัญ

    รวมแบบโรงงานขนาดเล็กยอดนิยม – เหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น สร้างง่าย ใช้งานได้จริง

    แบบ Layout พร้อมงบประมาณและแนวทางเลือกวัสดุให้คุ้มค่า สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่

    ในยุคที่ธุรกิจ SME และผู้ประกอบการรุ่นใหม่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความต้องการ โรงงานขนาดเล็ก ที่ตอบโจทย์การผลิตในระดับเริ่มต้นจึงสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตอาหาร, เครื่องสำอาง, แพ็คสินค้า หรือทำ OEM การเริ่มต้นด้วยโรงงานที่มีขนาดกะทัดรัดแต่จัดสรรพื้นที่ได้ลงตัว จะช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในอนาคต

    บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ

    • แบบโรงงานขนาดเล็กยอดนิยม พร้อมขนาดพื้นที่
    • การวาง Layout โรงงาน ที่ใช้งานได้จริง
    • งบประมาณโดยประมาณ สำหรับการก่อสร้าง
    • การเลือกวัสดุ + ระบบที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้าและระบายอากาศ
    • เคล็ดลับเลือกแบบโรงงานให้เหมาะกับธุรกิจ

    โรงงานขนาดเล็ก คืออะไร?

    1. โรงงานขนาดเล็กคืออะไร? เหมาะกับใคร?

    โรงงานขนาดเล็ก (Mini Factory) คือ โรงงานที่มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ระหว่าง 100–600 ตร.ม. เหมาะกับธุรกิจระดับเริ่มต้นหรือ SME ที่ยังไม่ต้องการระบบใหญ่เท่าระดับอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ เช่น

    ธุรกิจที่นิยมใช้โรงงานขนาดเล็ก

    รายละเอียด

    โรงงานผลิตอาหาร

    ขนม เบเกอรี่ เครื่องดื่มสมุนไพร

    โรงงานผลิตเครื่องสำอาง

    ครีม สบู่ น้ำหอม สครับ

    โรงงานแพ็คสินค้า

    แพ็คอาหารแห้ง, สินค้าออนไลน์, กล่องของขวัญ

    โรงงาน OEM ขนาดเล็ก

    รับผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้า

    แบบโรงงานขนาดเล็กยอดนิยม

    2. แบบโรงงานขนาดเล็ก ยอดนิยม (พร้อมขนาดพื้นที่)

    การออกแบบ Layout โรงงานขนาดเล็ก ที่ดี จะต้องคำนึงถึง “กระบวนการผลิตจริง” เช่น ทางเดินวัตถุดิบ, พื้นที่สต๊อกสินค้า, และโซนสำนักงาน ดังนี้:

    แบบโรงงานขนาด 12 x 20 เมตร (240 ตร.ม.)

    เหมาะสำหรับ : ธุรกิจที่มีไลน์ผลิต 1-2 จุด และพื้นที่จัดเก็บไม่มาก

    Layout แนะนำ

    • พื้นที่ผลิต: 100 ตร.ม.
    • พื้นที่เก็บวัตถุดิบ + สินค้าสำเร็จ: 80 ตร.ม.
    • สำนักงาน + ห้องน้ำ: 30 ตร.ม.
    • พื้นที่ว่าง + Loading: 30 ตร.ม.

    ข้อดี: ใช้งบไม่สูง สร้างได้ในพื้นที่จำกัด ปรับขยายในอนาคตง่าย

    แบบโรงงานขนาด 15 x 30 เมตร (450 ตร.ม.)

    เหมาะสำหรับ : ธุรกิจที่ต้องการผลิตอย่างจริงจัง และแยกพื้นที่ชัดเจน

    Layout แนะนำ :

    • พื้นที่ผลิต: 200 ตร.ม.
    • พื้นที่เก็บวัตถุดิบ: 80 ตร.ม.
    • สินค้าสำเร็จรูป: 80 ตร.ม.
    • สำนักงาน/ห้องประชุม: 60 ตร.ม.
    • พื้นที่ Loading/ว่าง: 30 ตร.ม.

    ข้อดี : รองรับเครื่องจักรได้มากขึ้น มีพื้นที่สต๊อกสินค้าเพียงพอ

    งบประมาณก่อสร้างโรงงานขนาดเล็ก

    3. งบประมาณก่อสร้างโรงงานขนาดเล็ก

    งบประมาณขึ้นอยู่กับวัสดุ โครงสร้าง และระบบที่ติดตั้ง แต่สามารถสรุปโดยประมาณได้ดังนี้

    ค่าก่อสร้างเฉพาะโครงสร้าง (ไม่รวมระบบ)

    ขนาด

    งบโดยประมาณ

    240 ตร.ม. 1.2 – 1.8 ล้านบาท
    450 ตร.ม. 2 – 3.2 ล้านบาท

    ระบบภายใน (เสริม)

    รายการ

    งบโดยประมาณ

    ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 100,000 – 300,000 บาท
    ระบบน้ำ/สุขาภิบาล 50,000 – 150,000 บาท
    ระบบระบายอากาศ 50,000 – 200,000 บาท
    ห้อง Cleanroom (GMP) 500,000+ ขึ้นอยู่กับพื้นที่

    รวมทั้งหมด งบโรงงานขนาดเล็กพร้อมใช้งานอาจอยู่ระหว่าง 2–5 ล้านบาท

    แนวทางเลือกวัสดุให้คุ้มค่า

    4. แนวทางเลือกวัสดุให้คุ้มค่า

    โครงสร้างและวัสดุหลัก

    • โครงเหล็กสำเร็จรูป : ติดตั้งเร็ว งบประหยัด เหมาะกับโรงงานชั่วคราวหรือขยายได้
    • ผนัง Sandwich Panel : เก็บอุณหภูมิดี เหมาะกับโรงงานอาหาร
    • พื้นปูนขัดมัน / พื้น Epoxy : ทนทานต่อการใช้งานหนักและทำความสะอาดง่าย

    หลังคา / หน้าต่าง

    • หลังคา เมทัลชีท + PU Foam ช่วยกันร้อน
    • ติดตั้ง บานเกล็ดระบายอากาศ หรือ ช่องแสงธรรมชาติ (Skylight) เพื่อลดการใช้ไฟ

    ระบบไฟฟ้าในโรงงานขนาดเล็ก

    5. ระบบไฟฟ้าในโรงงานขนาดเล็ก

    แม้โรงงานจะเล็ก แต่ระบบไฟฟ้าต้องออกแบบให้ปลอดภัยและรองรับการขยายในอนาคต:

    ระบบไฟฟ้า

    สิ่งที่ควรมี

    ระบบ 3 เฟส เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    ตู้ MDB แยกโซน แยกการใช้งานผลิต, แสงสว่าง, ออฟฟิศ
    สายดินและเบรกเกอร์เซอร์กิต เพื่อความปลอดภัยจากไฟรั่วและไฟฟ้าลัดวงจร
    ระบบสำรองไฟ (UPS) หากเครื่องจักรต้องทำงานต่อเนื่องไม่สะดุด

    6. ระบบระบายอากาศในโรงงานขนาดเล็ก

    ระบบระบายอากาศคือสิ่งที่ถูกมองข้ามบ่อย แต่สำคัญมากสำหรับการทำงานในโรงงาน

    ประเภทโรงงาน

    แนวทางระบายอากาศ

    โรงงานอาหาร พัดลมดูดอากาศ + เครื่องฟอกอากาศ (บางกรณี)
    โรงงานเครื่องสำอาง อาจต้องใช้ระบบ Positive Pressure + แอร์
    โรงงานแพ็คสินค้า พัดลมระบายอากาศรอบอาคาร + พัดลมเพดาน
    โรงงานทั่วไป พัดลมดูด + บานเกล็ดลมธรรมชาติ

    หากติดแอร์ในพื้นที่ผลิต ต้องเลือกชนิดที่ไม่ฟุ้งฝุ่นและติดตั้งโดยไม่กระทบกระแสลมตามมาตรฐาน GMP

    7. เคล็ดลับเลือกแบบโรงงานขนาดเล็กให้เหมาะกับธุรกิจคุณ

    วิเคราะห์ความต้องการก่อนออกแบบ

    • ใช้เครื่องจักรหรือไม่? ต้องมีไฟ 3 เฟสไหม?
    • จำนวนพนักงานกี่คน? มีห้องน้ำเพียงพอหรือไม่?
    • ต้องแยกสะอาด/ไม่สะอาดหรือไม่ (เช่น กรณีโรงงานอาหาร)
    • ต้องใช้พื้นที่ขนถ่ายสินค้าเยอะไหม? ต้องมี loading bay?

    วางแผนการขยายในอนาคต

    • เผื่อพื้นที่ว่างสำหรับต่อเติม
    • ออกแบบระบบไฟ/น้ำให้สามารถขยายได้
    • ใช้วัสดุที่ถอดเปลี่ยนง่าย (เช่น แผ่นผนัง, หลังคา, หน้าต่าง)

    สรุป โรงงานขนาดเล็กที่ดี คือต้อง “ใช้ได้จริงและขยายได้ง่าย”

    หัวข้อ

    สิ่งที่ควรมี

    Layout แบ่งโซนผลิต-เก็บของ-ออฟฟิศชัดเจน
    วัสดุ แข็งแรง ประหยัด และเหมาะกับประเภทสินค้า
    ระบบ ไฟฟ้า-ระบายอากาศ-น้ำ ครบถ้วนตามมาตรฐาน
    งบประมาณ เริ่มต้นตั้งแต่ 2–5 ล้านบาท พร้อมใช้งานจริง
    การออกแบบ เผื่อขยาย + รองรับมาตรฐาน (เช่น GMP/HACCP)

     

  • รับต่อเติมบ้าน

    23 July 2025

    สารบัญ

    รับต่อเติมบ้าน โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ – เพิ่มห้อง ขยายพื้นที่ ปรับปรุงใหม่แบบมืออาชีพ

    ครบทุกเรื่องงานต่อเติมบ้าน พร้อมคำแนะนำเลือกช่างและประเมินราคาก่อนตัดสินใจ

    “บ้านหลังเดิมอาจยังดีอยู่ แต่พื้นที่ไม่พออีกต่อไป…” นี่คือปัญหาที่หลายครอบครัวพบเจอเมื่ออยู่บ้านไปนาน ๆ แล้วมีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น ต้องการ ห้องครัวใหม่, ห้องทำงาน, หลังคาโรงจอดรถ หรือแม้แต่การ ต่อเติมชั้นลอย เพื่อเพิ่มฟังก์ชันให้บ้านโดยไม่ต้องย้ายออกไปไหน

    งานต่อเติมบ้านเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทั้ง “ประสบการณ์” และ “ความเข้าใจโครงสร้าง” ไม่แพ้งานสร้างใหม่ ดังนั้นการจ้างทีมช่างหรือบริษัทที่มีความชำนาญในการ รับต่อเติมบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยและคุ้มค่าระยะยาว

    บทความนี้จะพาคุณรู้จัก

    • ประเภทงานต่อเติมยอดนิยม
    • วิธีประเมินราคาต่อเติมเบื้องต้น
    • ข้อควรระวังด้านโครงสร้างและกฎหมาย
    • เทคนิคเลือกช่าง/ผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้
    • กรณีตัวอย่างงานต่อเติมที่ทำออกมาได้ดี

    ประเภทงาน "รับต่อเติมบ้าน" ยอดนิยม

    1. ประเภทงาน “รับต่อเติมบ้าน” ยอดนิยม

    1. ต่อเติมครัวหลังบ้าน

    • นิยมในบ้านจัดสรร เพราะครัวเดิมเล็กหรือไม่มี
    • มักใช้โครงสร้างคอนกรีต หรือเหล็ก + ผนังก่ออิฐ/สมาร์ทบอร์ด
    • ติดตั้งเคาน์เตอร์ เตา ซิงก์ดูดควัน

    ข้อควรระวัง : พื้นที่ครัวต่อเติมต้องรองรับน้ำหนักได้ดี และมีระบบระบายอากาศที่เพียงพอ

    1. ต่อเติมหลังคาโรงรถ / ลานจอดรถ

    • ใช้โครงสร้างเหล็กหรือโครงไม้ + หลังคาเมทัลชีท
    • อาจปูพื้นใหม่ด้วยแผ่นปูน, กระเบื้อง หรือคอนกรีตพิมพ์ลาย
    • บางบ้านต่อเพิ่มเป็นลานนั่งเล่นหรือครัวเปิด

    คำแนะนำ : อย่าลืมติดฉนวนกันร้อนและรางระบายน้ำ

    1. ต่อเติมห้องเพิ่ม (ห้องนอน / ห้องทำงาน / ห้องเก็บของ)

    • อาจเป็นห้องชั้นล่าง (ต่อจากตัวบ้าน) หรือบนชั้นลอย
    • ต้องคำนึงถึงผนังร่วม, พื้นที่ก่อสร้าง และความเป็นส่วนตัว
    • นิยมใช้ผนังเบา (สมาร์ทบอร์ด/ยิปซัม) เพื่อลดน้ำหนัก

    ข้อควรระวัง : การต่อเติมชั้นสองต้องตรวจสอบว่าโครงสร้างเดิมรับน้ำหนักเพิ่มได้หรือไม่

    1. ต่อเติมชั้นลอย หรือดาดฟ้า

    • ต้องคำนึงถึงโครงสร้างเสา-คานเดิม
    • อาจต้องเสริมเหล็ก/เทคอนกรีตใหม่
    • ใช้เป็นห้องเก็บของ ห้องพระ หรือห้องนั่งเล่น

    ควรปรึกษาวิศวกรก่อนตัดสินใจ เพราะน้ำหนักโครงสร้างอาจส่งผลต่อความปลอดภัย

    วิธีประเมินราคาต่อเติมเบื้องต้น

    1. วิธีประเมินราคาต่อเติมเบื้องต้น

    วิธีคิดราคาต่อเติมมี 2 แบบหลัก

    วิธีคิด รายละเอียด
    คิดตามพื้นที่ (ตร.ม.) งานต่อเติมพื้นหรือหลังคา เช่น โรงรถ, ครัว
    คิดตามจุด (เหมางาน) เช่น ต่อเติมห้องพร้อมปูกระเบื้อง + ประตูหน้าต่าง

    ตารางราคาต่อเติมเบื้องต้น ปี 2568

    งานต่อเติม ราคาโดยประมาณ (บาท/ตร.ม.)
    ครัวหลังบ้าน 6,000 – 12,000
    โรงจอดรถมีหลังคา 3,500 – 8,000
    ห้องนอน/ห้องทำงาน 10,000 – 18,000
    หลังคากันสาด 2,000 – 5,000
    ต่อเติมชั้นลอย 15,000 – 25,000

    ราคาจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้, ความยากง่ายของหน้างาน, และค่าแรงในพื้นที่นั้น ๆ

    ข้อควรระวังเมื่อจะต่อเติมบ้าน

    1. ข้อควรระวังเมื่อจะต่อเติมบ้าน

    1. โครงสร้างต้องรองรับได้จริง

    • บ้านเดิมไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ต่อเติมเสมอไป
    • การเจาะผนัง, ต่อเสาใหม่, หรือเทพื้นใหม่ ต้องไม่กระทบโครงสร้างหลัก

    ควรให้วิศวกรตรวจสอบก่อนเสมอ โดยเฉพาะงานที่อยู่ชั้นบนหรือใกล้เสา-คาน

    1. ป้องกันการทรุดตัว

    • พื้นที่ที่ไม่ได้ตอกเสาเข็ม อาจทำให้ส่วนต่อเติมทรุดเร็ว
    • ควรแยกโครงสร้างใหม่จากโครงสร้างเดิม (เว้นรอยต่อ-มีวัสดุกันรอยร้าว)
    1. เรื่องกฎหมายและการขออนุญาต

    • หากต่อเติมเกิน 5 ตร.ม. ควรยื่นขออนุญาตต่อเติมกับเขต/อบต.
    • ต้องระวังไม่ล้ำที่เพื่อนบ้าน หรือสูงเกินข้อจำกัด (เช่น ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง)

    วิธีเลือกช่างต่อเติม

    1. วิธีเลือกช่างต่อเติมหรือบริษัทรับเหมาที่ไว้ใจได้

    คุณสมบัติของช่างหรือบริษัทที่ควรเลือก

    เกณฑ์

    เหตุผล

    มีประสบการณ์งานต่อเติมจริง เข้าใจโครงสร้างเดิมและวิธีเชื่อมต่ออย่างปลอดภัย
    มีรีวิวลูกค้า / ผลงานที่ตรวจสอบได้ เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพงาน
    เสนอราคาเป็นลายลักษณ์อักษร มีรายการวัสดุ–ขั้นตอนชัดเจน
    ทำสัญญาว่าจ้างชัดเจน ป้องกันการทิ้งงานหรือคิดเงินเพิ่มภายหลัง
    มีทีมงานเฉพาะทาง (เช่น ช่างไฟ, ช่างปูกระเบื้อง) งานแต่ละส่วนจะเรียบร้อย ไม่ใช้ช่างสารพัดแบบ

     

    ลิสต์คำถามสัมภาษณ์ช่างหรือผู้รับเหมางานต่อเติม

    1. เคยทำงานลักษณะนี้มาก่อนหรือไม่? มีภาพผลงานไหม?
    2. ใช้วัสดุประเภทไหน? สามารถเลือกวัสดุเองได้ไหม?
    3. มีทีมช่างในตัวหรือจ้างต่อเป็นช่วง ๆ?
    4. ค่าบริการรวมอะไรบ้าง? มีอะไรที่ไม่รวม?
    5. ใช้เวลาต่อเติมกี่วัน? หากล่าช้ามีค่าปรับหรือไม่?
    6. รับประกันผลงานกี่ปี? (อย่างน้อย 6 เดือน–1 ปี)
    7. มีเอกสารเสนอราคาหรือสัญญาหรือไม่?

    สรุป งานต่อเติมบ้าน ต้องมืออาชีพเท่านั้น!

    การต่อเติมบ้านเป็นงานที่ซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะต้องผสาน “โครงสร้างเก่า” กับ “งานใหม่” ให้ลงตัวที่สุด ดังนั้นการเลือกทีมช่างหรือ บริษัทรับเหมา ที่เชี่ยวชาญในงานประเภทนี้โดยเฉพาะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    สิ่งที่ควรมี

    เพื่อให้ต่อเติมได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า

    แปลนต่อเติมคร่าว ๆ เพื่อช่วยให้ช่างตีราคาแม่นยำ
    งบประมาณตั้งต้น + งบเผื่อ เผื่อรายการเพิ่มเติมในระหว่างงาน
    เอกสารอนุญาต (ถ้าจำเป็น) ป้องกันปัญหากับหน่วยงานรัฐหรือเพื่อนบ้าน
    สัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ลดความเสี่ยงเรื่องทิ้งงานหรือคุณภาพต่ำ

     

สงวนลิขสิทธิ์ © [ 2023 ] บริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด. บทความทั้งหมดในเว็บไซต์นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด ห้ามนำไปใช้, ทำซ้ำ, แก้ไข, หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะไม่ว่าจะในรูปแบบใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท. การละเมิดสิทธิ์ใด ๆ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย.