• บริษัทรับเหมาก่อสร้าง กับบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

    18 May 2025

    สารบัญ

    เมื่อพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงนโยบายภาครัฐ การลงทุนจากภาคเอกชน หรือแรงงานคุณภาพ แต่อีกหนึ่งกลไกเบื้องหลังที่มีบทบาทสำคัญและมักถูกมองข้าม คือ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่โรงงานผลิต คลังสินค้า ไปจนถึงศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ

    ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกถึงบทบาทของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีต่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างแท้จริง พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าทำไมธุรกิจอุตสาหกรรมจึงควรร่วมมือกับบริษัทรับเหมาที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าแบบครบวงจร

    โรงงานผลิต

    1. โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ คือ รากฐานของภาคอุตสาหกรรม

    ไม่ว่าอุตสาหกรรมจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องมีสถานที่จริงสำหรับการผลิต จัดเก็บ และกระจายสินค้า และนั่นคือหน้าที่หลักของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในการทำให้ วิสัยทัศน์ของนักลงทุนกลายเป็นรูปธรรม

    โรงงานผลิต คือ จุดเริ่มต้นของมูลค่าทางเศรษฐกิจ

    • สร้างพื้นที่สำหรับเครื่องจักร การแปรรูป การประกอบ และการบรรจุสินค้า
    • รองรับระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบไอน้ำ หรืออากาศอัด ตามความต้องการเฉพาะ
    • ออกแบบให้สอดคล้องกับสายการผลิต เพื่อเพิ่ม Output ต่อพื้นที่

    คลังสินค้าและโลจิสติกส์ : ระบบหล่อเลี้ยงซัพพลายเชน

    • พื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปอย่างมีระบบ
    • เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างการผลิตและผู้บริโภค
    • รองรับระบบขนส่งอัตโนมัติ (AS/RS), RFID, WMS ฯลฯ

    บริษัทรับเหมา คือ ผู้แปลงวิสัยทัศน์ธุรกิจเป็นโครงสร้างใช้งานจริง ด้วยการวางแผน ออกแบบ และก่อสร้างภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ เวลา และกฎหมายอาคาร

    BIM

    2. ออกแบบและก่อสร้างที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ

    อาคารอุตสาหกรรมมีลักษณะเฉพาะทางที่ต่างจากอาคารทั่วไป ทั้งในแง่โครงสร้าง ความสูง วัสดุ ระบบวิศวกรรม และความปลอดภัย บริษัทรับเหมาที่เชี่ยวชาญด้านงานโรงงานและคลังสินค้าจะเข้าใจความซับซ้อนเหล่านี้ และสามารถแปลงความต้องการของผู้ประกอบการให้เป็นโซลูชันที่ใช้งานได้จริง

    จุดเด่นของบริษัทรับเหมาที่เชี่ยวชาญ

    • เข้าใจการวาง Layout ของสายการผลิต
    • รู้ระบบพื้นรับน้ำหนักสูง และพื้นไร้รอยต่อ
    • คำนวณแรงลม ความร้อน ฝุ่น และการระบายอากาศ
    • ออกแบบอาคารให้รองรับอุปกรณ์พิเศษ เช่น เครนยกสินค้า, รถฟอร์คลิฟต์, หุ่นยนต์อัตโนมัติ
    • ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) เพื่อลดข้อผิดพลาดก่อนก่อสร้างจริง

    ความแตกต่างจากบริษัทก่อสร้างทั่วไป

    หัวข้อ

    บริษัททั่วไป บริษัทรับเหมาอุตสาหกรรม

    รูปแบบอาคาร

    บ้าน อาคารสำนักงาน โรงงาน, คลังสินค้า, Cleanroom

    ระบบงาน

    ระบบพื้นฐาน

    ระบบเฉพาะทาง เช่น ไฟแรงสูง, ระบบผลิตไอน้ำ

    ความยืดหยุ่น

    จำกัด

    ปรับตามสายการผลิต

    ความทนทาน ทั่วไป

    ทนความชื้น เคมี อุณหภูมิสูง

    โรงงานและคลังสินค้า

    3. สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับประเทศ

    โรงงานและคลังสินค้าที่ได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงช่วยให้ภาคเอกชนทำงานได้สะดวกขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น

    การสร้างงานในท้องถิ่น

    • โรงงานที่ก่อสร้างในพื้นที่ต่างจังหวัด ช่วยจ้างแรงงานในชุมชน
    • กระจายรายได้ ลดการอพยพแรงงานเข้าสู่เมือง

    การเพิ่มศักยภาพการส่งออก

    • คลังสินค้าที่มีระบบโลจิสติกส์ทันสมัย ช่วยให้สินค้าส่งออกตรงเวลา
    • ลดต้นทุนขนส่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ

    นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทรับเหมาที่สามารถส่งมอบโรงงานมาตรฐานสากลได้ ช่วยดึงดูดการลงทุน FDI

    Smart Factory

    4. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยโครงสร้างที่รองรับเทคโนโลยี

    หนึ่งในภารกิจสำคัญของบริษัทรับเหมาก่อสร้างยุคใหม่ คือการสร้างโรงงานและคลังสินค้าที่รองรับระบบอัตโนมัติ และ เทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่เป็นรากฐานของ Smart Factory และ Smart Logistics

    คุณสมบัติของโครงสร้างที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรม 4.0

    • พื้นที่สำหรับเดินสายไฟ, Fiber Optic, เซ็นเซอร์ IoT
    • ความสูงอาคารและโครงสร้างที่รองรับหุ่นยนต์หรือ AGV
    • ระบบ BMS (Building Management System) ควบคุมไฟฟ้า น้ำ และอากาศ
    • พื้นโรงงานแบบไร้รอยต่อ รองรับการทำงานอัตโนมัติ

    บริษัทรับเหมาที่มีความเข้าใจในแนวทางเหล่านี้จึงเป็นพันธมิตรที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่ยุคดิจิทัล

    Solar Roof

    5. ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Industry)

    ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นวาระแห่งชาติ บริษัทรับเหมาก่อสร้างมีบทบาทโดยตรงในการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน

    แนวทางการออกแบบและก่อสร้างที่ยั่งยืน

    • ใช้วัสดุก่อสร้างที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น เหล็ก, คอนกรีตรีไซเคิล
    • ติดตั้ง Solar Roof เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง
    • วางระบบระบายอากาศธรรมชาติ ลดภาระของเครื่องปรับอากาศ
    • ออกแบบให้รับแสงธรรมชาติ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวัน
    • มีระบบบำบัดน้ำเสียและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

    การมีผู้รับเหมาที่เข้าใจในด้าน Green Building และมาตรฐาน เช่น LEED, ISO 14001 จะทำให้เจ้าของโรงงานสามารถก้าวสู่แนวทางธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น

    6. บริการแบบครบวงจร – ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ

    หนึ่งในแนวโน้มสำคัญของวงการก่อสร้างอุตสาหกรรมคือการใช้บริการแบบ Turnkey หรือ Design-Build ที่บริษัทรับเหมาดูแลตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงการส่งมอบอาคารพร้อมใช้งาน

    ข้อดีของบริการแบบครบวงจร

    • งบประมาณชัดเจนตั้งแต่ต้น ลดปัญหางบบานปลาย
    • ลดความล่าช้า เพราะไม่ต้องประสานหลายฝ่าย
    • ผู้รับเหมาเข้าใจโครงการทั้งระบบ ทำให้ออกแบบได้เหมาะสมกับการใช้งานจริง
    • ส่งมอบโครงการได้ตรงเวลา พร้อมใช้งานทันที

    บริษัทรับเหมาที่มีทีมสถาปนิก วิศวกร และ Project Manager ภายในเดียวกัน จะสามารถควบคุมคุณภาพงานและความสอดคล้องของทุกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    7. สร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ

    โรงงานหรือคลังสินค้าคือการลงทุนขนาดใหญ่ บริษัทรับเหมาที่มีผลงานที่ผ่านการตรวจสอบได้จริง มีระบบประกันคุณภาพ และสามารถอธิบายมาตรฐานการก่อสร้างอย่างโปร่งใส จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการได้อย่างแท้จริง

    ตัวชี้วัดความเชื่อถือ

    • มีพอร์ตผลงานชัดเจนในภาคอุตสาหกรรม
    • มีระบบควบคุมคุณภาพ (QA/QC) ตลอดโครงการ
    • ให้การรับประกันหลังส่งมอบ
    • มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทต่างชาติ หรือมาตรฐานสากล

    สรุป บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ฟันเฟืองที่ทำให้อุตสาหกรรมไทยเดินหน้า

    เบื้องหลังของโรงงานผลิตทันสมัย คลังสินค้าที่มีระบบจัดการอัจฉริยะ และศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ ล้วนมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นผู้สร้างรากฐานทางกายภาพและเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นจริง

    ในโลกที่อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัทรับเหมาต้องไม่ใช่เพียง คนก่อสร้าง แต่เป็น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ที่เข้าใจธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง และสามารถร่วมพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และพร้อมรองรับอนาคต

  • ออกแบบคลังสินค้า

    17 May 2025

    สารบัญ

    การ ออกแบบคลังสินค้า ในปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นแค่ความแข็งแรงและพื้นที่จัดเก็บอีกต่อไป แต่ต้องตอบโจทย์การทำงานที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และ ประหยัดพลังงาน มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนระยะยาว และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

    คลังสินค้าที่ออกแบบดี จะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า ลดความเสียหายของวัสดุ ลดต้นทุนการจัดเก็บ และที่สำคัญคือช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ในทุกเดือน

    บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก ขั้นตอนและแนวคิดในการออกแบบคลังสินค้า ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์ โดยเน้นไปที่การออกแบบที่ ตอบโจทย์การใช้งานจริง และ ประหยัดพลังงานในระยะยาว ทั้งในด้านแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

    คลังสินค้าอีคอมเมิร์ซ

    1. การวิเคราะห์ความต้องการและฟังก์ชันของคลังสินค้า

    การออกแบบที่ดีเริ่มจากการ “เข้าใจการใช้งานจริง” ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ เช่น คลังสินค้าอีคอมเมิร์ซ คลังสินค้าเกษตร หรือคลังแช่เย็น

    ปัจจัยที่ต้องวิเคราะห์ก่อนเริ่มออกแบบ

    • ประเภทสินค้า : ขนาด น้ำหนัก อายุการเก็บ ความต้องการพิเศษ เช่น ควบคุมอุณหภูมิ
    • รูปแบบการจัดเก็บ : Pallet, Shelf, Rack, Bulk Storage
    • ความถี่ในการเคลื่อนย้ายสินค้า : สินค้าเข้า/ออกถี่แค่ไหน ต้องใช้ระบบอัตโนมัติหรือไม่
    • ลักษณะของคนทำงาน : มีพนักงานกี่คน ใช้เครื่องจักรอะไร ความปลอดภัยสูงแค่ไหน
    • รูปแบบขนส่ง : รถบรรทุก, รถยก, หรือสายพานลำเลียง

    การเก็บข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้จะช่วยกำหนดขนาด พื้นที่ และผังภายในที่ตรงเป้าหมายมากที่สุด

    การออกแบบผังพื้น

    1. การออกแบบผังพื้น (Layout) ให้ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า

    พื้นที่คือทรัพยากรที่มีค่าในคลังสินค้า การวาง Layout อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มหาศาล

    หลักการจัดวาง Layout

    • Flow-based Design : การจัดผังตามเส้นทางของสินค้า ตั้งแต่รับเข้า เก็บ และจ่ายออก เพื่อให้ “สินค้าลื่นไหล” ไม่มีการย้อนกลับ
    • Zoning : แบ่งพื้นที่เป็นโซนชัดเจน เช่น พื้นที่รับของ – พื้นที่จัดเก็บ – พื้นที่บรรจุ – พื้นที่ขนส่ง
    • Vertical Optimization : ใช้ความสูงของอาคารให้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ระบบ Rack สูง, Mezzanine
    • พื้นที่สำหรับคนและเครื่องจักร : ต้องมีทางเดินปลอดภัย ช่องสำหรับรถยก และพื้นที่ Buffer สำหรับพักสินค้า

    เทคนิคการออกแบบที่ช่วยใช้พื้นที่ให้คุ้ม

    • Rack ที่ปรับระดับได้
    • ระบบ AS/RS (Automated Storage and Retrieval System)
    • พื้นยกระดับสำหรับแยกการเดินของพนักงานและสินค้า

    แสงธรรมชาติเพื่อลดพลังงานไฟฟ้า

    1. การวางแผนใช้แสงธรรมชาติเพื่อลดพลังงานไฟฟ้า

    ในคลังสินค้าขนาดใหญ่ แสงสว่างมีผลต่อค่าไฟโดยตรง และยังมีผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานด้วย การวางแผนให้มีแสงธรรมชาติเข้ามาได้มากที่สุดในเวลากลางวันจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดพลังงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตการทำงาน

    แนวทางการใช้แสงธรรมชาติ

    • ติดตั้ง Skylight หรือ Light Dome : บนหลังคาในแนวทิศเหนือ–ใต้ เพื่อลดแสงจ้าและความร้อน
    • ใช้ผนังโปร่งแสง (Translucent Panel) : แทนบางส่วนของผนังทึบ
    • วางช่องเปิดให้สอดคล้องกับทิศทางแดด: ทิศเหนือและใต้ให้แสงคงที่ ทิศตะวันตกควรหลีกเลี่ยง
    • ใช้ระบบควบคุมแสงอัตโนมัติ (Daylight Sensor): ปรับลดการเปิดไฟเมื่อแสงธรรมชาติเพียงพอ

    ประโยชน์

    • ลดค่าไฟฟ้าได้สูงถึง 30–50%
    • ลดความเครียดของพนักงาน
    • เพิ่มความสว่างสม่ำเสมอ ลดอุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัด

    ระบายอากาศที่ดี

    1. การวางระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อความสบายและประหยัดพลังงาน

    ระบบระบายอากาศในคลังสินค้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนอย่างไทย ที่คลังสินค้าสามารถกลายเป็นเตาอบได้หากออกแบบไม่ดี

    แนวคิดสำคัญ

    • Ventilation ≠ Air-conditioning : ระบายอากาศเน้น “ไหลเวียนลม” ไม่ใช่ความเย็น
    • ใช้หลัก Cross-ventilation : เปิดช่องลมเข้า-ออกในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อลมพัดผ่าน
    • ติดตั้ง Ventilator Fan หรือ พัดลมระบายอากาศบนหลังคา
    • หลังคายกสูง – มีฝ้าเพดานสองชั้น (Double Roof): ลดความร้อนจากแสงแดด

    ระบบระบายอากาศประหยัดพลังงาน

    • Natural Ventilation : ใช้แรงลมธรรมชาติ
    • Evaporative Cooling System : ระบบพ่นหมอกน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิด้วยพลังงานต่ำ
    • Thermal Chimney: ช่องปล่อยอากาศร้อนขึ้นสูง

    เลือกวัสดุก่อสร้าง

    1. การเลือกวัสดุก่อสร้างที่เหมาะสมและช่วยประหยัดพลังงาน

    วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในคลังสินค้ามีผลต่อทั้ง “ต้นทุนระยะยาว” และ “ประสิทธิภาพการทำงาน” โดยเฉพาะในเรื่องของอุณหภูมิ ความทนทาน และการดูแลรักษา

    วัสดุที่ควรพิจารณา

    • หลังคาเมทัลชีท + ฉนวนกันความร้อน PU Foam หรือ EPS
    • ผนัง Sandwich Panel หรือผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) พร้อมฉนวน
    • พื้นอุตสาหกรรมแบบไร้รอยต่อ (Epoxy Floor) รองรับรถยก และทนต่อการใช้งานหนัก
    • ประตูคลังสินค้าแบบ Roll-up หรือ High-speed Door เพื่อลดการสูญเสียพลังงานขณะเปิด–ปิด

    แนวทางลด Carbon Footprint

    • ใช้วัสดุรีไซเคิล เช่น เหล็กกล้ารีไซเคิล คอนกรีตรีไซเคิล
    • เลือกวัสดุที่ผลิตในท้องถิ่น เพื่อลดระยะทางขนส่ง
    • ติดตั้ง Solar Roof เพื่อลดพลังงานจากไฟฟ้าหลัก

    เทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงาน

    1. ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงาน

    คลังสินค้ายุคใหม่เริ่มใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านโลจิสติกส์และการบริหารพลังงาน โดยเฉพาะในคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่ค่าไฟเป็นต้นทุนหลัก

    เทคโนโลยีสำคัญ

    • WMS (Warehouse Management System) บริหารจัดการพื้นที่จัดเก็บ ลดความวุ่นวาย
    • BMS (Building Management System) ระบบควบคุมแสง อากาศ และพลังงานแบบรวมศูนย์
    • Energy Monitoring System ติดตามการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ แยกตามโซน
    • ระบบ Sensor ตรวจจับการเคลื่อนไหว เปิดไฟเฉพาะเมื่อมีการใช้งานพื้นที่
    1. ขั้นตอนการดำเนินโครงการออกแบบและสร้างคลังสินค้าอย่างเป็นระบบ

    ขั้นตอนมาตรฐาน

    1. วิเคราะห์ความต้องการและศึกษาพื้นที่
    2. ออกแบบ Layout และระบบพลังงานเบื้องต้น
    3. จัดทำแบบแปลนวิศวกรรม – สถาปัตยกรรม
    4. ประเมินงบประมาณ และวางแผนการก่อสร้าง
    5. ก่อสร้างพร้อมควบคุมคุณภาพ (QA/QC)
    6. ทดสอบระบบไฟฟ้า – ระบายอากาศ – แสงสว่าง
    7. ส่งมอบงาน พร้อมคู่มือการใช้งาน และรับประกันคุณภาพ

    สรุป คลังสินค้าที่ดี คือ พื้นที่ที่ทำงานแทนเราได้ทุกวินาที

    คลังสินค้า คือ หัวใจของการจัดการซัพพลายเชน หากออกแบบดีตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแต่จะประหยัดพลังงาน แต่ยังช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และลดต้นทุนในระยะยาว

    แนวคิด “ประหยัดพลังงาน” ไม่ใช่แค่เรื่องของค่าไฟ แต่คือการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรากฐานของธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว

  • โรงงานยุคใหม่

    16 May 2025

    สารบัญ

    ในยุคที่อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลและยั่งยืน การ ออกแบบโรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างอาคารสำหรับผลิตสินค้าอีกต่อไป แต่กลายเป็นกระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว

    โรงงานยุคใหม่ ต้องตอบโจทย์ทั้งด้าน “ฟังก์ชัน” ที่รองรับสายการผลิตอัจฉริยะ “ความปลอดภัย” ของแรงงาน และ “ความยั่งยืน” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกแนวโน้มการออกแบบโรงงานแห่งอนาคตที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

    Smart Factory

    1. ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การผลิตในยุคอุตสาหกรรม 4.0

    โรงงานไม่ใช่แค่พื้นที่ผลิต แต่คือ ระบบนิเวศของเทคโนโลยี หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของโรงงานยุคใหม่คือการออกแบบที่รองรับ Smart Factory หรือ โรงงานอัจฉริยะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแส Industry 4.0 โดยรวมเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    ลักษณะสำคัญของ Smart Factory

    • เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-time data exchange) : ทุกเครื่องจักรและอุปกรณ์ถูกเชื่อมต่อผ่านระบบ IoT (Internet of Things)
    • ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ : เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในกระบวนการที่ซ้ำซ้อนหรือเสี่ยงอันตราย
    • การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI/Big Data : เพื่อคาดการณ์ปัญหาและวางแผนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
    • Digital Twin : จำลองโรงงานเสมือนเพื่อดูการทำงานล่วงหน้า

    ตัวอย่างการออกแบบที่รองรับ

    • พื้นที่ติดตั้งเซ็นเซอร์และเครือข่าย
    • พื้นที่เผื่อสำหรับสายไฟแรงต่ำ-แรงสูงแบบแยกส่วน
    • ช่องทางเดินหุ่นยนต์และสายพานลำเลียงที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้

    Lean Manufacturing

    1. Lean Layout คือ ออกแบบให้ “ไหลลื่น” ลดความสูญเปล่า

    หนึ่งในแนวคิดที่ยังคงมีอิทธิพลต่อการออกแบบโรงงานยุคใหม่ คือ Lean Manufacturing โดยเฉพาะในเรื่องของ Lean Layout หรือ การจัดผังโรงงานที่เน้นประสิทธิภาพการไหลของงาน (Flow Efficiency)

    เป้าหมายของ Lean Layout

    • ลดเวลาในการเคลื่อนย้ายวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ (Material Handling)
    • ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการ
    • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

    หลักการออกแบบแบบ Lean

    • เส้นทางตรง (Straight Line Flow)  จัดวางเครื่องจักรตามลำดับกระบวนการผลิตเพื่อลดการวนซ้ำ
    • แยกพื้นที่อย่างชัดเจน เช่น โซนรับวัตถุดิบ – โซนผลิต – โซนจัดเก็บ – โซนขนส่ง
    • รองรับการเปลี่ยนแปลงได้ (Flexibility) เช่น เครื่องจักรแบบ Modular ที่สามารถโยกย้ายได้ตามต้องการ
    • ใช้พื้นที่แนวตั้งให้คุ้มค่า เช่น ชั้นเก็บของอัตโนมัติหรือ Mezzanine Floor สำหรับระบบควบคุม

    ผลลัพธ์ที่ได้รับ คือ

    • ลดต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ย 15–30%
    • ลดเวลารอ (Waiting Time) และ Work-in-Progress
    • เพิ่มศักยภาพในการขยายสายการผลิตในอนาคต

    ความปลอดภัยของแรงงาน

    1. ความปลอดภัยเป็นรากฐานของการออกแบบที่ยั่งยืน

    แม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ ความปลอดภัยของแรงงาน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ไม่สามารถละเลยได้

    แนวทางการออกแบบที่เน้นความปลอดภัย

    • ระบบระบายอากาศและควบคุมฝุ่น สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการผลิตสารเคมีหรือฝุ่นละออง
    • แสงสว่างที่เพียงพอและไม่ทำลายสายตา
    • การออกแบบทางหนีไฟที่มีประสิทธิภาพ เช่น ประตูหนีไฟอัตโนมัติ จุดรวมพล และระบบแจ้งเตือน
    • วัสดุก่อสร้างที่ไม่ติดไฟและปลอดภัยต่อสุขภาพ
    • ระบบควบคุมอุณหภูมิและเสียงรบกวน โดยเฉพาะในโรงงานที่มีเครื่องจักรทำงานหนัก

    การใช้เทคโนโลยีช่วยเสริมความปลอดภัย

    • เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน ควัน หรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ
    • ระบบ Access Control สำหรับจำกัดพื้นที่เข้าถึง
    • ระบบตรวจสอบด้วยกล้อง AI วิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยง

    ประโยชน์เชิงธุรกิจ

    • ลดอุบัติเหตุในโรงงาน
    • ลดค่าเบี้ยประกันภัย
    • สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ใส่ใจแรงงาน

    Green Building

    1. ความยั่งยืน (Sustainability) โรงงานที่ดีต้องเป็นมิตรกับโลก

    โรงงานยุคใหม่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Green Building” หรือ อาคารสีเขียว ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยของเสีย และใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

    แนวทางการออกแบบเพื่อความยั่งยืน

    • ใช้วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน: เช่น คอนกรีตรีไซเคิล เหล็กรีไซเคิล ฉนวนกันความร้อนจากใยพืช
    • ออกแบบให้ประหยัดพลังงาน เช่น ช่องแสงธรรมชาติ ระบบระบายอากาศแบบ Cross-ventilation
    • ติดตั้งระบบพลังงานทดแทน เช่น Solar Roof, ระบบกักเก็บน้ำฝน (Rainwater Harvesting)
    • ออกแบบระบบน้ำเสียให้บำบัดและนำน้ำกลับมาใช้ได้
    • ระบบควบคุมอัจฉริยะ (Building Management System – BMS) บริหารจัดการพลังงาน น้ำ และระบบแสงสว่างผ่านซอฟต์แวร์

    มาตรฐานที่ควรพิจารณา

    • LEED (Leadership in Energy and Environmental Design)
    • ISO 14001: Environmental Management
    • WELL Standard (ด้านสุขภาพแรงงาน)

    ตัวอย่างผลลัพธ์

    • ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ 20–50% ในระยะยาว
    • ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ/เครดิตภาษี
    • เพิ่มมูลค่าให้กับโรงงานในระยะยาว

    การออกแบบโรงงาน

    1. เทรนด์อื่นๆ ที่เริ่มมาแรงในการออกแบบโรงงาน

    นอกจากแนวคิดหลักทั้งสามด้าน ยังมีเทรนด์ที่น่าสนใจอื่นๆ ซึ่งกำลังถูกนำมาใช้ในโรงงานยุคใหม่ เช่น

    5.1 การออกแบบแบบ BIM (Building Information Modeling)

    ออกแบบด้วยโมเดล 3 มิติพร้อมข้อมูลประกอบ ช่วยลดข้อผิดพลาดในการก่อสร้างช่วยให้ทีมงานเห็นภาพรวมตั้งแต่แรก ปรับปรุงแบบได้ทันที

    5.2 โรงงานแบบ Zero Waste

    ออกแบบโรงงานที่มีการจัดการของเสียแบบหมุนเวียน (Circular Economy) วางระบบแยกขยะและจัดเก็บวัตถุดิบเหลือใช้ตั้งแต่แรก

    5.3 Flexible Factory โรงงานที่ขยายได้

    รองรับการเพิ่มสายการผลิตใหม่ ระบบไฟฟ้า/น้ำ/เน็ตเวิร์กที่มีจุดเชื่อมต่อพร้อมขยาย

    สรุป การออกแบบโรงงานยุคใหม่ คือ การออกแบบอนาคตของธุรกิจ

    การ ออกแบบโรงงาน ไม่ใช่เพียงการก่อสร้างอาคาร แต่เป็นการวางรากฐานให้ธุรกิจสามารถ ผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยั่งยืนในระยะยาว การเข้าใจและประยุกต์ใช้แนวคิด Smart Factory, Lean Layout และ Sustainable Design จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น เงื่อนไขแห่งความสำเร็จ ในยุคที่การแข่งขันสูงและทรัพยากรมีจำกัด

  • 5 เหตุผลที่ควรเลือกบริษัทรับเหมาแบบครบวงจร

    15 May 2025

    การ สร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างอาคารเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผน การขออนุญาต ไปจนถึงการก่อสร้างและส่งมอบอาคารให้พร้อมใช้งาน 

    หากกระบวนการเหล่านี้ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบหรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมตั้งแต่ต้นจนจบ โครงการอาจประสบปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น งบประมาณบานปลาย ล่าช้า หรือไม่ได้มาตรฐาน

    ซึ่งทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเลือกใช้บริการ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง แบบครบวงจร (Turnkey Contractor) ซึ่งให้บริการตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการก่อสร้างและส่งมอบอาคารพร้อมใช้งานภายในงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด

    ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับ 5 เหตุผลหลัก ว่าทำไมการเลือกบริษัทรับเหมาแบบครบวงจรจึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะสำหรับโครงการโรงงานและคลังสินค้า ซึ่งต้องการทั้งความแม่นยำ ความรวดเร็ว และมาตรฐานด้านอุตสาหกรรมที่สูง

    ประหยัดเวลา ด้วยการจัดการโครงการแบบบูรณาการ

    1. ประหยัดเวลา ด้วยการจัดการโครงการแบบบูรณาการ

    หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของบริษัทรับเหมาแบบครบวงจรคือ การลดขั้นตอนและประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ เขียนแบบ ขออนุญาต ไปจนถึงงานก่อสร้าง อยู่ภายใต้การควบคุมของทีมงานเดียวกัน

    เปรียบเทียบกับระบบเดิม

    หากเลือกใช้สถาปนิกและวิศวกรจากบริษัทหนึ่ง แล้วค่อยไปหาผู้รับเหมาก่อสร้างอีกบริษัทหนึ่ง คุณจะต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้ประสานงาน” ระหว่างหลายฝ่ายเอง ซึ่งกินเวลาและอาจเกิดความขัดแย้งในการตีความแบบ หรือการจัดการงบประมาณ

    ในขณะที่บริษัทรับเหมาแบบครบวงจร จะทำหน้าที่เป็น ผู้จัดการโครงการแบบเบ็ดเสร็จ ผู้ว่าจ้างเพียงแค่ติดต่อกับผู้ประสานงานหลักจากบริษัทเดียว และติดตามความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์

    ผลลัพธ์ที่ได้

    • ระยะเวลาก่อสร้างลดลงเฉลี่ย 20-30%
    • ลดความซ้ำซ้อนของงาน และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น
    • เริ่มต้นใช้งานโรงงานหรือคลังสินค้าได้เร็วกว่ากำหนด

    บริษัทรับเหมาแบบ Turnkey

    1. ควบคุมงบประมาณได้อย่างแม่นยำ งบไม่บานปลาย

    หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของการก่อสร้างคือ งบประมาณที่บานปลาย ซึ่งมักเกิดจากการเปลี่ยนแบบ การทำงานซ้ำ หรือการตีความแบบผิดพลาดจากฝ่ายก่อสร้าง

    ข้อดีของระบบครบวงจร

    บริษัทรับเหมาแบบ Turnkey จะทำการวางแผนงบประมาณตั้งแต่ต้น โดยอิงจากการออกแบบที่สอดคล้องกับต้นทุนจริงในการก่อสร้าง ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมออกแบบและทีมก่อสร้าง บริษัทสามารถเสนอ แนวทางการออกแบบที่เหมาะสมกับงบประมาณ ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ยังสามารถควบคุมราคาวัสดุ และวางแผนจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องใช้วัสดุประเภทใด ปริมาณเท่าไหร่ และเมื่อใด

    ความแตกต่างจากระบบทั่วไป

    หากจ้างสถาปนิกออกแบบแยกจากผู้รับเหมา อาจได้แบบที่เกินงบประมาณ เมื่อถึงมือผู้รับเหมา อาจต้องปรับแบบใหม่ ซึ่งทำให้เสียทั้งเวลาและเงิน แต่ในระบบครบวงจร งบประมาณจะถูกควบคุมตลอดกระบวนการ โดยมีรายงานต้นทุนและการเบิกจ่ายให้ตรวจสอบเป็นระยะ

    มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรม

    1. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรม

    การสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า ไม่เหมือนการสร้างบ้านหรืออาคารพาณิชย์ เพราะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเฉพาะด้าน เช่น

    • โหลดน้ำหนักของเครื่องจักร
    • ระบบระบายอากาศ
    • ระบบไฟฟ้าแรงสูง
    • การวางผังภายในที่สัมพันธ์กับสายการผลิต
    • การขนส่งภายในคลังสินค้า
    • ความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

    ทำไมต้องใช้บริษัทที่เชี่ยวชาญ?

    บริษัทรับเหมาแบบครบวงจรที่มีประสบการณ์ในด้านงานอุตสาหกรรม จะเข้าใจและสามารถออกแบบให้ตอบโจทย์ การใช้งานจริงในภาคการผลิตหรือโลจิสติกส์ ได้ดี เช่น

    • การเลือกใช้วัสดุที่ทนต่อสารเคมี
    • ระบบพื้นโรงงานที่รองรับแรงกระแทก
    • การออกแบบเส้นทางขนส่งที่ไม่ขวางสายการผลิต

    ผลดีที่ได้รับ

    • ลดความผิดพลาดในการวางระบบ
    • ยืดอายุการใช้งานของอาคาร
    • ลดต้นทุนในการซ่อมแซมในอนาคต
    • ได้อาคารที่รองรับการขยายในอนาคต

    ลดภาระเจ้าของโครงการในการประสานงาน

    1. ลดภาระเจ้าของโครงการในการประสานงาน

    โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น โรงงานหรือคลังสินค้า ต้องอาศัยการประสานงานกับหลายฝ่าย เช่น:

    • หน่วยงานราชการ เพื่อขออนุญาต
    • วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรระบบ
    • ผู้รับเหมาช่วง
    • ผู้จัดหาวัสดุ
    • ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย ฯลฯ

    ในระบบทั่วไป

    เจ้าของโครงการต้องมี Project Manager หรือทำหน้าที่บริหารโครงการเอง ซึ่งเป็นงานหนักและต้องอาศัยความรู้ด้านเทคนิค

    ในระบบครบวงจร 

    บริษัทรับเหมาจะทำหน้าที่เหล่านี้แทนเจ้าของทั้งหมด

    • มีการจัดทำแผนงาน
    • ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ
    • ควบคุมคุณภาพ
    • ติดตามงานเป็นรายสัปดาห์/เดือน
    • รายงานความคืบหน้าแบบมืออาชีพ

    สิ่งที่เจ้าของโครงการต้องทำ

    เพียงแค่ตั้งเป้าหมาย และตัดสินใจในประเด็นสำคัญ เช่น งบประมาณ สเปควัสดุ หรือกำหนดเวลาเท่านั้น ที่เหลือบริษัทรับเหมาจะดูแลอย่างครบถ้วน

    ได้งานคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมรับประกัน

    1. ได้งานคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมรับประกัน

    อีกหนึ่งข้อดีที่มองข้ามไม่ได้คือ คุณภาพของงาน ซึ่งมีผลต่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน

    คุณภาพในระบบ Turnkey

    • มีการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การวางระบบ ไปจนถึงการเก็บรายละเอียด
    • บริษัทรับเหมาที่มีชื่อเสียงมักมีระบบ Quality Assurance (QA) และ Quality Control (QC) อย่างเข้มงวด
    • ส่งมอบอาคารพร้อมเอกสารรับประกัน และคู่มือการใช้งาน
    • พร้อมให้บริการหลังการขาย เช่น ซ่อมแซม หรือปรับปรุงระบบเพิ่มเติมในอนาคต

    ลดความเสี่ยง

    • ลดโอกาสเกิดปัญหาจากงานก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน เช่น น้ำรั่ว พื้นทรุด โครงสร้างไม่แข็งแรง ฯลฯ
    • บริษัทรับเหมาที่รับผิดชอบโครงการทั้งหมดจะไม่โยนความผิดให้ผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมาช่วง เพราะต้องรับผิดชอบทั้งระบบ

    สรุป ทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับธุรกิจที่ต้องการความมั่นคง

    การสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า คือการลงทุนครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อกระบวนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว

    การเลือกใช้ บริษัทรับเหมาแบบครบวงจร จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะคุณจะได้ทั้ง

    • การประหยัดเวลา

    • งบประมาณที่ควบคุมได้

    • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

    • การบริหารจัดการที่มืออาชีพ

    • งานก่อสร้างคุณภาพสูงพร้อมรับประกัน

    หากคุณต้องการ สร้างโรงงาน หรือคลังสินค้าที่พร้อมใช้งานได้จริงภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาจุกจิกระหว่างทาง บริษัทรับเหมาแบบครบวงจรคือตัวเลือกที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก

  • 04 January 2024

    พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทางเลือก ที่ปัจจุบันเจ้าของบ้านจำนวนมากให้ความสนใจ ผู้เขียนเองในฐานะผู้ทำงานออกแบบบ้าน ทุก ๆ ครั้งที่ได้สัมภาษณ์พูดคุยงานออกแบบกับว่าที่เจ้าของบ้านใหม่ เจ้าของบ้านเกือบ ทุกหลังมักถามถึงความคุ้มค่าในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อยู่เสมอ

    ซึ่งคำตอบของคำถามแต่ละบ้านนั้นมีความแตกต่างกัน จำเป็นต้องสำรวจทิศทาง ตรวจเช็คงานหลังคา รวมทั้งสำรวจพฤติกรรมในการใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละวัน เนื้อหานี้จึงเป็นเสมือนเช็คลิสต์ให้ผู้อ่านได้ตรวจเช็คได้ด้วยตนเองว่า บ้านของเราเหมาะสมกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือไม่ มาสำรวจกันเลยครับ

     

    รู้จักระบบ Solar Cell แล้วต้องเลือกให้เหมาะกับบ้าน

    เจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อยยังมีความเข้าใจผิดว่า บ้านที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะเหมาะกับบ้านที่ห่างไกลความเจริญและต้องใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เท่านั้น ความเป็นจริงแล้วโซลาร์เซลล์ปัจจุบันสามารถนำมาใช้ได้กับทุก ๆ พื้นที่ ทั้งในเมือง ชนบทและพื้นที่ห่างไกลความเจริญ กรณีนำมาใช้ร่วมกับบ้าน ปัจจุบันมีให้เลือก 3 ระบบหลักด้วยกันครับ

    ระบบออฟกริด (Off Grid) เหมาะกับบ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่สวน ไร่ฟาร์ม หรือที่ดินตาบอดที่ไม่มีเสาไฟฟ้าผ่านหน้าบ้าน ซึ่งหากลงทุนเดินเสาไฟฟ้าเองจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก ระบบ Off Grid มุ่งเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นหลัก โดยการใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวันจะดึงกระแสไฟจากแผงโซลาร์เซลล์โดยตรง และมีแบตเตอรี่สำรองเพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าใช้ในยามค่ำคืน

    ระบบออนกริด (On Grid) เป็นระบบที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์เซลล์ โดยกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์จะมุ่งเน้นการใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน หากกระแสไฟฟ้าเหลือเกิน จะถูกแบ่งขายคืนให้กับการไฟฟ้า และหากผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้น้อย จะใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าแทน ข้อดีของแบบออนกริด นอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้วยังได้กำไรจากการขายกระแสไฟให้ภาครัฐอีกด้วย

    ระบบ Hybrid Grid เป็นระบบที่ผสมผสานระหว่าง Off Grid และ On Grid เข้าด้วยกัน โดยจะมีความใกล้เคียงกับระบบออนกริด โดยมีจุดแตกต่าง คือ ระบบไฮบริดมีแบตเตอรี่สำรองไว้สำหรับเก็บกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์ จึงมีพลังงานไฟฟ้าสำรองสามารถนำมาใช้ในยามค่ำคืนหรือช่วงเวลากระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าดับได้ แต่ระบบไฮบริดจะไม่สามารถขายกระแสไฟให้กับภาครัฐได้ และเนื่องจากในตอนนี้ระบบแบตเตอรี่ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงมาก ทำให้มีระยะเวลาคืนทุนค่อนข้างนานมาก หรืออาจไม่คืนทุนเลย จึงยังไม่แนะนำให้ติดตั้งในตอนนี้ครับ

     

    บ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์

    1. บ้านที่มีหลังคาลาดเอียงทางทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้

    เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงได้รับแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันตกและทิศใต้สูงสุดในแต่ละวันเป็นระยะเวลา 8-9 เดือนโดยประมาณ หากมีพื้นที่ติดตั้งโซล่าเซลล์ฝั่งดังกล่าวจะคุ้มค่ากว่าทิศอื่น ๆ

    1. บ้านที่มีพื้นที่ว่างสำหรับวางแผงโซล่าเซลล์

    โดยปกติแล้วก่อนติดตั้ง เจ้าของบ้านควรทราบความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้ารวม เพื่อประเมินได้ว่าควรต้องติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ทั้งหมดกี่แผง แต่ละแผงมีสเปคเท่าไหร่ ตัวอย่างแผงโซล่าเซลล์ของ SCG หากใช้กับบ้านทั่วไปที่มีหลอดไฟ 20 ดวง ทีวี 2 เครื่อง เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง (ขนาด 9000 BTU) และตู้เย็น 1 เครื่อง จะต้องใช้แผงโซล่าเซลล์ 5 แผง ใช้พื้นที่ติดตั้งประมาณ 10-14 ตร.ม.

    1. บ้านที่ใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวันมากหรือสำนักงาน

    พลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ สามารถผลิตได้ช่วงกลางวัน หากการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหรืออาคารสถานที่ มุ่งเน้นการใช้งานกลางวันก็จะช่วยส่งกระแสไฟฟ้าได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเก็บสำรองในแบตเตอรี่ การติดตั้งโซล่าเซลล์ จึงคุ้มค่ามากและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักงาน, Home Office, คาเฟ่, ร้านอาหาร ที่โดยปกติจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้สำนักงานจำนวนมาก หรือบ้านไหนมีผู้สูงอายุ มีเด็ก ที่ปกติต้องอยู่บ้านทั้งวันและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงเกิน 3,000 บาทขึ้นไป ก็เหมาะสมเช่นกันครับ

    1. บ้านที่กระแสไฟตกบ่อย

    แม้ปัจจุบันในประเทศไทย ไฟฟ้าได้เข้าถึงเกือบทุกพื้นที่แล้ว แต่ก็มิได้หมายความว่ากระแสไฟฟ้าจะเสถียรทั้งหมด แม้แต่ในชุมชนเมืองบางพื้นที่ ที่มีการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่นมักเกิดปัญหากระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟตกบ่อยครั้ง การมีพลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้เองด้วยแผงโซล่าเซลล์ จึงเป็นเสมือนตัวช่วยประกันความเสี่ยงในการใช้พลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี

    1. บ้านสวนสนามกว้างสายไฟไปไม่ถึง

    โซล่าเซลล์ไม่ได้มีเฉพาะแบบแผงสี่เหลี่ยมที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาเท่านั้น ยังมีในรูปแบบอื่น ๆ ให้เลือกใช้งาน อาทิ ไฟตกแต่งสวนโคมไฟโซล่าเซลล์แบบฝังพื้น โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์แบบปักสนาม ที่สะดวกสำหรับบ้านสนามหญ้ากว้าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องเดินระบบสายไฟออกไกลนอกบ้าน ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและลดอันตรายจากการต่อสายไฟออกมากลางแจ้งได้เป็นอย่างดี

    ในท้ายนี้ขอเพิ่มเติมข้อสังเกต ในกรณีบ้านที่ไม่เหมาะติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เพราะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น คือ บ้านที่มีอาคารสูงบังทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก บ้านที่มีพื้นที่หลังคาน้อยหรือโครงสร้างหลังคาไม่รองรับ หรือบ้านที่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยมีค่าไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน หากติดตั้งโซลาร์เซลล์ไปแล้วอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนครับ

     

    การวางแผนเรื่องพลังงานระยะยาวด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ อาจจะดูเป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูง แต่หากคำนวณค่าไฟฟ้าที่ลดได้ต่อปีคูณอายุการหลังจากการคืนทุน (ประมาณ 7-10 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดระบบและปริมาณการใช้ไฟ) ต่อไปถึง 25 ปี ถือว่าเป็นการลงทุนครั้งเดียวที่คุ้มค่า นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าแล้ว ยังอาจมีรายได้เพิ่มจากการขายไฟฟ้าส่วนเกิน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์โลกของเราด้วยวิถีที่ยั่งยืนอีกด้วยครับ

     

     

  • 04 January 2024

    ปัจจุบันการติด โซล่าเซลล์โรงงาน (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งในภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจการติดตั้งโซล่าเซลล์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในโรงงาน สามารถช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจได้ในส่วนของค่าไฟ ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับกำไรเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของความนิยมดังกล่าว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความคุ้มค่าในระยะยาวเพราะปัจจุบันการติดโซลาร์โรงงานในภาคธุรกิจสามารถคืนทุนได้ภายใน 5-6 ปี เท่านั้น แต่การใช้งานหรือรับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟยาวนานถึง 25 ปี ซึ่งหลังจากเลยจุดคุ้มทุน นับว่าเป็นกำไรที่เจ้าของธุรกิจจะได้รับไปเต็มๆ

    3 ปัจจัยหลัก ก่อนติดโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในโรงงาน เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด

    การเตรียมตัวก่อนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อธุรกิจ ควรดูอะไรบ้าง

    1. ทิศทางของอาคารที่ต้องการจะติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์รูฟ (Solar Roof)

    ทิศทางของอาคารที่เหมาะแก่การวางโครงสร้างงานหลังคาโซลาร์รูฟท็อป มากที่สุด คือทิศใต้ เนื่องจากพระอาทิตย์วิ่งอ้อมใต้ ทำให้อาการที่ตั้งอยู่ในทิศทางนี้ ได้รับแสงอาทิตย์ได้ดีที่สุด ในขณะที่ทิศตะวันตก เป็นทิศที่รับแสงได้ดีรองลงมา และ ทิศเหนือ เป็นทิศที่ควรหลีกเลี่ยงในการติดตั้งงานหลังคา Solar มากที่สุด

    อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ เงาบังที่พาดผ่านหลังคา เช่น เงาจากต้นไม้ใหญ่ หรือ ตึกสูง เงาเหล่านี้จะส่งผลต่อความเข้มแสงที่แผง solar ได้รับ และเป็นผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการเลือกบริเวณที่จะติดตั้งงานหลังคา Solar Rooftop ที่ดีที่สุด คือ ทิศใต้ และไม่มีเงาบัง

    1. ประเภทหลังคาและโครงสร้างหลังคา

    ควรให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานหลังคาเป็นผู้ตรวจสอบและวิเคราะห์ว่าประเภทหลังคาและโครงหลังคา หรือ ดาดฟ้าของบริเวณที่ต้องการติดตั้งระบบงานหลังคาโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) มีความแข็งแรงเพียงพอหรือ ไม่ ซึ่งต้องวิเคราะห์จากแบบหลังคาเดิมของอาคารที่มีอยู่ และ การตรวจสอบสภาพหน้างานจริง ทั้งประเภทของหลังคา ระยะช่วงห่างของเสา ระยะแปและขนาดของแป เพื่อนำมาคำนวณความแข็งแรงของโครงสร้าง ซึ่งโดยปกติแล้ว แผงโซลาร์ และชุดอุปกรณ์ยึด จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

    1. รายละเอียดการใช้ไฟฟ้า หรือ พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า

    แต่ละธุรกิจมักมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามประเภทกิจการต่างๆ โดยประเภทของอุปกรณ์การใช้ไฟฟ้า (กินไฟมากน้อยไม่เท่ากัน) และ ช่วงเวลาที่ใช้ไฟฟ้าในแต่ละวัน โดยข้อมูลเบื้องต้นที่ควรนำมาใช้พิจารณาก่อนการติดตั้งโซลาร์รูฟ บนหลังคา ได้แก่

    – ค่าไฟย้อนหลัง 12 เดือน เพื่อดู Trend การใช้ไฟในแต่ละช่วงของปี หากดูจำนวนเดือนที่น้อยเกินไป เดือนนั้นๆ อาจไม่สะท้อนการใช้ไฟฟ้าจริงของกิจการนั้นๆ และในบางกิจการอาจะมีการใช้ไฟ ในช่วงแต่ละ ฤดูไม่เท่ากัน เช่น โรงเรียน มีการใช้ไฟน้อยในช่วงโรงเรียนปิดเทอม

    – Load Profile หรือ ข้อมูลการไฟฟ้าตามช่วงเวลาทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนและรายปี โดยปกติระบบ Solar จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 4 ชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในวันนั้นๆ โดยมีลักษณะการผลิตไฟในรูปแบบระฆังคว่ำ ดังนั้น Load Profile จึงสำคัญมากในการคำนวณระบบที่จะติดตั้งไม่ให้เกิน Load Profile และโดยส่วนใหญ่จะคำนวณให้การใช้งานระบบอยู่ที่ 80% นอกเหนือจากการนำ Load Profile มาคำนวณกำลังการผลิตของ Solar ที่ควรจะติดตั้งแล้ว ยังนำข้อมูลมาปรับพฤติกรรมการใช้ไฟเบื้องต้นก่อนการคำนวณกำลังไฟที่ควรติดตั้ง เช่น การแบ่งการเปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเว้นอย่างน้อย 15 นาที เพื่อลด Peak Load หรือ การใช้ Energy Solutions มาช่วยลดค่าไฟเบื้องต้น เช่น การติดฟิล์มกระจก เพื่อลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร หรือการเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED เพื่อประหยัดไฟมากขึ้น

    การลงทุนติดตั้งระบบ โซลาร์โรงงาน เพื่อธุรกิจ เป็นการลงทุนที่มูลค่าสูง จึงควรให้ความสำคัญกับการปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งในทุกๆ ธุรกิจ โรงงาน โชว์รูม หรือแม้แต่ร้านอาหาร โฮมออฟฟิศ ก็สามารถติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปบนหลังคาได้เช่นกัน เพื่อช่วยลดค่าไฟได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินธุรกิจลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืน

  • 04 January 2024

    สร้างบ้านอย่างไรให้ฝุ่นน้อย?ปัญหาฝุ่นภายในบ้านเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพการอยู่อาศัยของคุณและสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันที่ปัญหาฝุ่นละอองทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่มักมีปริมาณฝุ่น PM2.5 สูงกว่าทุกช่วงของปี นอกจากฝุ่นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้วยังทำให้บ้านสกปรกดูไม่น่าอยู่ ฝุ่นสามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือ

    1. ฝุ่นที่เกิดจากการอยู่อาศัย เช่น ฝุ่นจากเซลล์ผิวหนัง แป้ง/เครื่องสำอาง เสื้อผ้า/ม่าน/พรม
    2. ฝุ่นจากภายนอกบ้าน โดยส่วนใหญ่ฝุ่นจะเข้าทางประตูหน้าต่างที่แม้จะปิดไว้แต่ฝุ่นก็ลอดเข้ามาตามร่องต่างๆ ได้ ฝุ่นอาจจะติดตามตัว เสื้อผ้า และรองเท้า

    การป้องกันฝุ่นหรือการลดปัญหาฝุ่นสะสมภายในบ้านสามารถทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบบ้าน การเลือกใช้วัสดุ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และการจัดการพื้นที่รอบบ้าน ซึ่งมีแนวทางดังนี้

    1. เลือกใช้ระบบประตูหน้าต่างที่ช่วยป้องกันฝุ่น และมลภาวะจากภายนอกช่องเปิดต่างๆรอบบ้านไม่ว่าจะประตู หน้าต่าง รวมถึงช่องระบายอากาศ ควรพิจารณารูปแบบการติดตั้งที่ปิดมิดชิด ไม่มีรอยต่อ หรือเกิดช่องว่างขึ้นในอนาคตได้ง่าย และวัสดุที่มีคุณภาพสูง ไม่ชำรุดหรือเสียหายได้ง่าย เพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 กลิ่น และมลภาวะต่างๆจากภายนอก
    2. การเลือกใช้วัสดุปูพื้นและกรุผนังการเลือกใช้วัสดุปูพื้นและกรุผนัง ควรเลือกใช้วัสดุที่ไม่เก็บฝุ่นและทำความสะอาดได้ง่าย เช่น วัสดุผิวเรียบหรือผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงวัสดุประเภทผ้า พรม ขนสัตว์ กำมะหยี่ และวัสดุผิวหยาบ เช่น หินที่มีผิวหยาบ อิฐโชว์แนว ซึ่งฝุ่นสามารถเกาะตามร่องต่างๆ ได้
    3. การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือการทำเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน (Built-in)การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือการทำเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน (Built-in) ควรหลีกเลี่ยงการมีระนาบแนวนอนที่ทำความสะอาดได้ยาก เช่น ด้านบนของตู้หรือชั้นวางของที่เอื้อมไม่ถึง รวมถึงช่องว่างข้างหลังตู้ เนื่องจากระนาบ-ช่องว่างเหล่านี้จะเก็บฝุ่นได้มาก วิธีการแก้ไขอาจจะออกแบบให้ตู้สูงชนถึงฝ้าเพดานและหลังตู้ติดผนังห้องไปเลย สำหรับโต๊ะหรือตู้เตี้ย ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานควรหาผ้ามาคลุมหรือวางของให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ฝุ่นเกาะ นอกจากนี้ ที่เก็บของต่างๆ เช่น ตู้หนังสือ ชั้นวางของ และตู้เสื้อผ้า ควรเลือกชนิดที่มีบานประตูปิด เพื่อลดฝุ่นที่จะไปสะสมตามสิ่งของต่างๆ
    4. ปลูกต้นไม้ให้ช่วยกรองฝุ่นที่มากับลมหากบ้านมีพื้นที่ภายนอกเพียงพอ ควรปลูกต้นไม้ให้ช่วยกรองฝุ่นที่มากับลมแทนที่จะให้ลมพัดเข้าสู่บ้านโดยตรง ต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นที่ดีมักจะเป็นต้นที่มีใบหนาแน่นและใบละเอียด ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งประเภทไม้เลื้อย ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้น แล้วแต่ขนาดและข้อจำกัดของพื้นที่ นอกจากนี้การปลูกหญ้าคลุมพื้นดินแทนการทำพื้นดาดแข็ง(Hardscape) เช่น การปูคอนกรีตหรืออิฐบล็อก ก็สามารถช่วยลดฝุ่นที่สะสมตามพื้นรอบบ้านได้เป็นอย่างดี

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีการใดที่สามาถป้องกันฝุ่นได้อย่าง 100% การหมั่นทำความสะอาดบ้าน การเปลี่ยนไส้กรองเครื่องปรับอากาศและเครื่องกรองอากาศ รวมถึงการจัดเก็บของไม่ให้บ้านรกยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของฝุ่นและลดปัญหาฝุ่นภายในบ้าน

  • 04 January 2024

    ก่อนที่คุณจะติดตั้งหลังคาโซล่าเซลล์บนบ้านหรือสถานที่อื่น ๆ มีข้อสำคัญที่ควรทราบและพิจารณาให้ดี เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปได้สะดวกและปลอดภัยมากที่สุด ดังนี้

    1. ติดโซล่าเซลล์บนหลังคา ต้องให้ความสำคัญกับหลังคา

    เนื่องจากหลังจากติดโซล่าเซลล์ บนหลังคาไปแล้ว โซล่าเซลล์ จะอยู่คู่บ้านเราไปอีกกว่าหลายสิบปี ดังนั้นหลังคาจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญ ควรเลือกติดตั้งกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านหลังคาด้วย สำหรับ เราจะทีมช่างเข้าไปตรวจสภาพความพร้อมของหลังคา หรือ Roof Health Check หากหลังคาอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะดำเนินการซ่อมแซม แก้ไขให้ก่อน

    นอกจากนี้วิธีการติดตั้งต้องมั่นใจได้ว่าหลังคาจะไม่รั่วซึม จึงมั่นใจได้ว่าหลังคาจะไม่รั่วหลังติดตั้งอย่างแน่นอน

    1. ทิศทางการติดโซล่าเซลล์ ต้องผ่านการออกแบบมาอย่างเหมาะสม

    พื้นที่หลังคาที่จะติดโซล่าเซลล์ รูฟ (Solar Roof) ต้องไม่โดนเงาบัง และอยู่ในทิศทางที่รับแดดได้ดี ไม่เช่นนั้นจะทำให้ โซล่าเซลล์ รูฟ ที่ติดตั้งไปไม่โดนแดดเพียงพอ พอหลังคาโซลาร์ไม่โดนแดดเต็มที่ การผลิตไฟในแต่ละวันก็จะน้อย ส่งผลให้การติด Solar Roof ไม่คุ้มค่าอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องผ่านการออกแบบมาอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นการติดโซล่าเซลล์ ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพ

    1. ต้องดำเนินการขออนุญาตกับภาครัฐ เพื่อการติดที่ถูกกฎหมาย

    ก่อนการติดตั้งหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เจ้าของบ้านต้องดำเนินการการขออนุญาตจากภาครัฐถึง 3 หน่วยงาน คือ 1) เขต หรือ เทศบาล 2) MEA หรือ PEA 3) คณะกรรมการกองกำกับกิจการพลังงาน หากไม่ดำเนินการในส่วนนี้จะเป็นการติดตั้งที่ผิดกฎหมาย

สงวนลิขสิทธิ์ © [ 2023 ] บริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด. บทความทั้งหมดในเว็บไซต์นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด ห้ามนำไปใช้, ทำซ้ำ, แก้ไข, หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะไม่ว่าจะในรูปแบบใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท. การละเมิดสิทธิ์ใด ๆ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย.