07 June 2025
ความปลอดภัย คือ พื้นฐานที่ไม่ควรมองข้ามในการดำเนินกิจการโรงงาน เพราะอุบัติเหตุแม้เพียงครั้งเดียว อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อชีวิต พนักงาน ทรัพย์สิน และภาพลักษณ์ขององค์กร
ในยุคที่การดำเนินธุรกิจต้องแข่งขันกันด้วยความเร็วและประสิทธิภาพ เจ้าของโรงงานหลายรายอาจละเลยการลงทุนด้านความปลอดภัย หรือมองว่าเป็น ค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อรายได้ ทั้งที่ความจริงแล้ว มาตรฐานความปลอดภัยที่ดี คือ รากฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
กับ 7 มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน ที่เจ้าของกิจการควรรู้และควรมีให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
-
ระบบดับเพลิงและอุปกรณ์ป้องกันเพลิงไหม้ (Fire Protection System)
เพลิงไหม้เป็นหนึ่งในอุบัติเหตุใหญ่ที่พบได้บ่อยในโรงงาน ไม่ว่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร, ความร้อนสะสม, เครื่องจักรขัดข้อง หรือสารไวไฟ หากไม่มีระบบป้องกันที่ดี อาจลุกลามจนควบคุมไม่ทัน
มาตรฐานที่โรงงานควรมี
- ถังดับเพลิงแบบพกพา (ชนิด Dry Chemical, CO₂, Foam ฯลฯ) ติดตั้งทุกระยะ 15-20 เมตร
- ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ (Sprinkler System) เหมาะสำหรับโรงงานขนาดกลาง-ใหญ่
- หัวฉีดน้ำดับเพลิง (Hydrant) และถังเก็บน้ำสำรองในพื้นที่
- Fire Alarm System พร้อมเสียงเตือนชัดเจนทั่วพื้นที่
- ระบบแยกไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุ
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบถังดับเพลิงและสปริงเกอร์ทุก 6 เดือน
- ฝึกซ้อมดับเพลิงเบื้องต้นกับพนักงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-
การติดตั้งสัญญาณเตือนภัยและระบบตรวจจับอันตราย (Alarm & Detection System)
จุดอ่อนที่มักถูกมองข้าม
หลายโรงงานติดตั้งเฉพาะ สัญญาณกันขโมย แต่ละเลยระบบเตือนภัยด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจจับควัน ไฟฟ้าลัดวงจร หรือสารเคมีรั่วไหล
ระบบที่ควรติดตั้ง
- Smoke Detector / Heat Detector ตรวจจับควันหรืออุณหภูมิผิดปกติ
- Gas Detector ตรวจจับการรั่วไหลของก๊าซ เช่น LPG, NH₃, H₂
- Motion Sensor ในพื้นที่หวงห้าม
- ระบบแจ้งเตือนทันที เช่น สัญญาณเสียง-แสง และระบบแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์/เครือข่าย
ข้อดี
- ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็ว
- ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนในกรณีที่พนักงานยังไม่รู้ตัว
-
การเว้นระยะห่างระหว่างเครื่องจักร และโซนการผลิต
เหตุผลด้านความปลอดภัย
การจัดวางเครื่องจักรที่หนาแน่นเกินไป อาจทำให้พนักงานเคลื่อนไหวลำบาก กีดขวางทางหนีไฟ และเพิ่มความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น การถูกหนีบ หรือไฟฟ้าช็อต
มาตรฐานที่ควรยึดถือ
- เว้นระยะอย่างน้อย 1.2-1.5 เมตร ระหว่างเครื่องจักร
- แบ่งโซนชัดเจน พื้นที่ผลิต, พื้นที่เก็บวัตถุดิบ, ทางเดิน, ทางหนีไฟ
- พื้นต้องไม่ลื่น มีเครื่องหมายจราจรในโรงงาน เช่น เส้นเหลืองทางเดิน เส้นแดงเขตห้ามเข้า
- กำหนดทางหนีไฟทุกระยะไม่เกิน 45 เมตร
แนวทางเสริม
- ใช้ Lean Layout เพื่อลดความซับซ้อนของพื้นที่
- ติดตั้งฉนวนกันเสียง หรือแนวกันระหว่างเครื่องจักรเสียงดัง
-
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE – Personal Protective Equipment)
อุปกรณ์ PPE ที่ควรมี
- หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
- แว่นตานิรภัย / Face Shield
- รองเท้านิรภัย
- ถุงมือกันบาด กันร้อน หรือกันสารเคมี
- ชุดป้องกันสารเคมี หรือเสื้อสะท้อนแสง
- ที่ครอบหู / Ear Plug
แนวทางปฏิบัติที่ดี
- จัดอบรมการใช้งาน PPE อย่างน้อยปีละครั้ง
- จัดทำ Checkpoint ให้พนักงานตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนเริ่มงาน
- จัดสรรงบประมาณสำหรับเปลี่ยน PPE เสมอเมื่อหมดอายุ
-
ระบบระบายอากาศและควบคุมฝุ่น/สารเคมีในอากาศ
การระบายอากาศไม่ดีทำให้เกิดการสะสมของความร้อน สารเคมี ฝุ่น หรือก๊าซพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานและเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือระเบิด
สิ่งที่โรงงานควรมี
- พัดลมดูดอากาศ (Exhaust Fan) ทุกจุดที่มีความร้อนหรือสารเคมี
- ระบบแลกเปลี่ยนอากาศ (Air Exchange System)
- เครื่องกรองฝุ่น (Dust Collector) โดยเฉพาะในโรงงานไม้ แป้ง โลหะ
- ปล่องระบายอากาศ ที่สูงพอและไม่ปล่อยสารพิษเกินค่ามาตรฐาน
ตรวจสอบได้อย่างไร?
- วัดค่าอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศในจุดต่าง ๆ ของโรงงาน
- ตรวจสอบสภาพแวดล้อมกับกฎหมายของ กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือกฎหมายสิ่งแวดล้อม
-
การอบรมความปลอดภัยและฝึกซ้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
แนวทางที่ควรทำ
- จัดทำ คู่มือความปลอดภัย Safety Manual
- อบรมความปลอดภัยให้พนักงานใหม่ และทบทวนทุก 6 เดือน
- ฝึกซ้อม อพยพหนีไฟ / ปฐมพยาบาลเบื้องต้น / ดับเพลิง
- ตั้ง ทีมความปลอดภัย (Safety Committee) ที่มีตัวแทนพนักงานในแต่ละแผนก
-
ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรเป็นประจำ
ไฟฟ้าลัดวงจร มอเตอร์ระเบิด เครื่องจักรหนีบพนักงาน คือผลลัพธ์ของการขาดการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)
วิธีดูแลที่ปลอดภัย
- ตรวจสอบตู้ไฟฟ้า เบรกเกอร์ และสายดินทุก 6 เดือน
- ล้างแผงวงจร ตู้ควบคุม และมอเตอร์เป็นประจำ
- ทดสอบเครื่องตรวจจับไฟฟ้ารั่ว / ระบบตัดไฟอัตโนมัติ
- ใช้โปรแกรม CMMS หรือ ERP เพื่อจัดการ Maintenance Schedule
-
05 June 2025
การ สร้างโรงงานใหม่ คือ การลงทุนที่มีมูลค่าสูงและมีผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิต ความสามารถในการขยายกำลังการผลิต ความปลอดภัยของพนักงาน หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ของแบรนด์
การวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงทั้งด้านงบประมาณ เวลา และข้อผิดพลาดทางเทคนิค โดยเฉพาะการผสานงานระหว่าง การก่อสร้างอาคาร กับ ระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม ที่ต้องทำควบคู่กันอย่างมืออาชีพ
ในบทความนี้ เราจะพาคุณ รู้จักทีละ ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ ตั้งแต่การเลือกที่ดินจนถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่เหมาะกับประเภทโรงงาน พร้อมคำแนะนำเพื่อช่วยให้คุณประหยัดทั้งต้นทุนและเวลาการดำเนินงานในระยะยาว
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 1 : การเลือกที่ดิน – รากฐานของทุกสิ่ง
ที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนรวมของโรงงาน
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกที่ดิน
- ที่ตั้ง : ใกล้เส้นทางคมนาคมหลัก เช่น ทางหลวง ท่าเรือ รถไฟ หรือสนามบิน จะช่วยลดต้นทุนขนส่ง
- โซนอุตสาหกรรม : ที่ดินต้องอยู่ในพื้นที่ที่อนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานตาม พ.ร.บ.โรงงาน และผังเมืองรวม
- ระบบสาธารณูปโภค : น้ำประปา ไฟฟ้าแรงสูง อินเทอร์เน็ต ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานช่วยลดต้นทุนติดตั้งระบบ
- สภาพดิน : ต้องตรวจสอบว่าดินแข็งแรงพอรองรับน้ำหนักของเครื่องจักรขนาดใหญ่หรือไม่
- ความเสี่ยงภัยธรรมชาติ : หลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมง่าย หรืออยู่ใกล้เขตภูเขาไฟ/แผ่นดินไหว
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 2 : การขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน
การสร้างโรงงานจำเป็นต้องขออนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึง
เอกสารและใบอนุญาตที่ต้องมีใน ขั้นตอนสร้างโรงงาน
- ขออนุญาตก่อสร้าง (อ.1, อ.2, อ.3) จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต./เทศบาล)
- ขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) หากใช้เครื่องจักรตามเงื่อนไขของ พ.ร.บ.โรงงาน
- วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หากเป็นโรงงานขนาดใหญ่หรืออยู่ในพื้นที่ควบคุม
- ขออนุญาตไฟฟ้าแรงสูงจากการไฟฟ้า (กรณีใช้พลังงานมากกว่า 30 กิโลวัตต์ขึ้นไป)
บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่มีประสบการณ์มักให้บริการช่วยประสานงานเอกสารกับภาครัฐ ซึ่งช่วยให้กระบวนการราบรื่นขึ้นมาก
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 3 : การออกแบบอาคารโรงงาน
การออกแบบอาคารไม่ใช่แค่โครงสร้างที่แข็งแรง แต่ต้องตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจนั้น ๆ และมีการประสานกับระบบไฟฟ้าแต่ต้นทาง
แนวทางออกแบบที่ดีควรมี
- Layout ที่รองรับกระบวนการผลิต : วางเครื่องจักรเป็นเส้นตรง ลดการเคลื่อนย้ายซ้ำซ้อน
- พื้นที่เก็บสินค้า : แยกพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบ/ผลิตภัณฑ์ พร้อมระบบชั้นวางที่เหมาะสม
- โซนควบคุม: มีห้องควบคุมไฟฟ้า และ SCADA (หากใช้ระบบอัตโนมัติ)
- ความปลอดภัย: ติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย ถังดับเพลิง จุดล้างตา ฯลฯ
- การระบายอากาศและแสงธรรมชาติ: ใช้พัดลมอุตสาหกรรม และช่องเปิดเพื่อประหยัดพลังงาน
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 4 : เลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างครบวงจร
หากคุณต้องการลดต้นทุนและลดความซับซ้อนในการประสานงาน การเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการครบวงจร รวมทั้งงานระบบไฟฟ้า ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด
ข้อดีของการจ้างบริษัทที่ให้บริการครบ
- ประสานงานง่าย ไม่ต้องแยกช่างไฟกับผู้รับเหมาโครงสร้าง
- ลดข้อผิดพลาดในการออกแบบระบบร่วม เช่น ช่องร้อยสายไฟ ฝังท่อร้อยสาย
- ตรวจสอบงานได้จากผู้รับผิดชอบเดียว มีความต่อเนื่อง
- ประหยัดงบประมาณโดยรวม เพราะไม่ซ้ำซ้อน
คุณสมบัติที่ควรมองหา
- มีผลงานก่อสร้างโรงงานจริง พร้อมให้เยี่ยมชมไซต์งานเก่า
- มีวิศวกรควบคุมงาน (มีใบ กว.)
- มีช่างไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ. วิชาชีพ
- รับประกันผลงานหลังส่งมอบ
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 5 : วางแผนและติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เหมาะกับประเภทอุตสาหกรรม
ระบบไฟฟ้าในโรงงานมีความซับซ้อนสูง ต้องออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจประเภทของการผลิต
5 องค์ประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้าโรงงาน
- การคำนวณโหลด : คำนวณการใช้พลังงานของเครื่องจักร แสงสว่าง และระบบสำรอง
- การเลือกอุปกรณ์ : ใช้ตู้ MDB, MCC, เบรกเกอร์, หม้อแปลง, และสายไฟที่เหมาะสมกับโหลด
- ระบบแรงสูง/แรงต่ำ : สำหรับโรงงานขนาดใหญ่ ต้องมีระบบไฟฟ้าแรงสูง 22kV พร้อมหม้อแปลงภายใน
- ระบบสำรองไฟ : เช่น เครื่องปั่นไฟ หรือ UPS สำหรับเครื่องจักรสำคัญ
- ความปลอดภัย : ติดตั้งสายดิน, เบรกเกอร์กันดูด, และอุปกรณ์ตัดวงจรเมื่อกระแสไฟเกิน
การติดตั้งระบบที่ดีจะช่วยลดไฟตก ไฟดับ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร
ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ 6 : ทดสอบระบบและเตรียมความพร้อมก่อนใช้งาน
หลังจากติดตั้งอาคารและระบบไฟฟ้าเสร็จสิ้น จำเป็นต้องมีขั้นตอนการทดสอบ (Commissioning) เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
สิ่งที่ต้องทำ :
- ตรวจสอบวงจรไฟฟ้าและค่าความต้านทานสายดิน
- ทดสอบระบบเบรกเกอร์ / ตัดไฟอัตโนมัติ
- ตรวจสอบระบบแสงสว่างและปลั๊กจ่ายไฟ
- ทดสอบระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
- อบรมพนักงานให้รู้วิธีใช้ระบบ และปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
เคล็ดลับ : วางแผนดีตั้งแต่ต้น ประหยัดได้ตลอดอายุโรงงาน
- อย่าประหยัดเกินไปกับงานระบบ : เพราะค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงในอนาคตจะแพงกว่า
- เผื่อพื้นที่และไฟสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต
- เลือกเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน: เช่น LED, Solar Roof, หม้อแปลงประสิทธิภาพสูง
- อย่าลืมระบบแจ้งเตือน เช่น เซนเซอร์ควัน, ระบบป้องกันไฟฟ้ารั่ว
- ใช้บริษัทเดียวทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วยลดเวลา ประหยัดงบ และเพิ่มความมั่นใจ
สรุป ขั้นตอนสร้างโรงงานใหม่ เริ่มจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ
ขั้นตอนการสร้างโรงงานใหม่ ไม่ได้จบแค่การขึ้นโครงสร้างอาคาร แต่ทุกองค์ประกอบตั้งแต่การเลือกที่ดิน การออกแบบ การขออนุญาต การก่อสร้าง ไปจนถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้า ล้วนต้องประสานงานกันอย่างมืออาชีพ
การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ให้บริการครบวงจรและมีประสบการณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม คือ กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณประหยัดงบประมาณและเวลาตั้งแต่ต้นจนจบโครงการ รวมถึงลดปัญหาในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากการวางระบบผิดตั้งแต่ต้น
- ที่ตั้ง : ใกล้เส้นทางคมนาคมหลัก เช่น ทางหลวง ท่าเรือ รถไฟ หรือสนามบิน จะช่วยลดต้นทุนขนส่ง
04 June 2025
ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านหลายคนมองข้ามไปในช่วงก่อสร้างหรือรีโนเวท ทั้งที่ในความเป็นจริงงานไฟฟ้า ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างหลักที่ส่งผลต่อ ความปลอดภัย, การใช้งาน, และ การประหยัดพลังงานในระยะยาว หากออกแบบและติดตั้งไม่ดี อาจทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร ไฟตก เบรกเกอร์ตัดบ่อย หรือแม้แต่เพลิงไหม้ได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 จุดสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เดินไฟบ้าน พร้อมอธิบายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับจุดปลั๊ก, สวิตช์, เบรกเกอร์, ขนาดสายไฟ และเทคนิคที่ช่างมืออาชีพใช้ เพื่อให้คุณสามารถพูดคุยกับช่างไฟได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ
1. การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟ – วางผิด เสียทั้งฟังก์ชันและงบประมาณ
การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟควรออกแบบอย่างมีระบบและรองรับการใช้งานจริงภายในบ้าน โดยคำนึงถึง จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า, ความถี่ในการใช้งาน, และ ตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ ตัวอย่างเช่น
ข้อแนะนำ เกี่ยวกับ การเดินไฟบ้าน
- ห้องนั่งเล่น ควรมีปลั๊กอย่างน้อย 3–4 จุด เช่น ใกล้ทีวี, โซฟา, โต๊ะกลาง
- ห้องครัว ต้องใช้ปลั๊กหลายจุดสำหรับเตาไฟฟ้า, ไมโครเวฟ, ตู้เย็น, หม้อหุงข้าว ฯลฯ
- ห้องนอน ควรวางปลั๊กข้างเตียงทั้งสองฝั่ง พร้อมปลั๊กสำรองใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง
- ห้องน้ำ ใช้ปลั๊กกันน้ำ พร้อมติดตั้งสายดิน (Ground) เพื่อความปลอดภัย
- ที่จอดรถ หรือพื้นที่ซักล้าง ควรมีปลั๊กกันน้ำสำหรับอุปกรณ์ทำความสะอาดหรือเครื่องซักผ้า
ข้อควรระวัง เกี่ยวกับ การเดินไฟบ้าน
- ไม่ควรใช้ปลั๊กพ่วงตลอดเวลา หากปลั๊กไม่พอ ควรเดินสายเพิ่มให้เหมาะสม
- ระยะสูงจากพื้นควรอยู่ที่ 30–40 ซม. เพื่อป้องกันน้ำ (โดยเฉพาะในห้องน้ำ)
- ไม่ควรวางปลั๊กใกล้แหล่งน้ำโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
2. การวางสวิตช์ไฟ – คิดเผื่อการใช้งานทุกคนในบ้าน
สวิตช์ไฟแม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่ส่งผลต่อ “ประสบการณ์ใช้งานในบ้าน” อย่างมาก หากวางไม่ดีจะทำให้ไม่สะดวก หรือแม้แต่เกิดอันตรายจากการเอื้อมเปิดไฟในความมืด
ข้อแนะนำ เกี่ยวกับ การเดินไฟบ้าน
- ตำแหน่งมาตรฐานของสวิตช์ไฟควรอยู่ที่ความสูง 90–120 ซม. จากพื้น
- ทางเข้าบ้านควรมีสวิตช์หลักเพื่อเปิดไฟกลางหรือไฟทางเดิน
- ควรมีสวิตช์ 2 ทางสำหรับห้องนอน (เปิดไฟได้จากหัวเตียง)
- สวิตช์ห้องน้ำควรอยู่ “นอกห้องน้ำ” เพื่อความปลอดภัยจากความชื้น
- หากใช้ไฟซ่อน หรือระบบ Smart Lighting ควรวางสวิตช์ควบคุมในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย
เทคนิคจากช่างมืออาชีพ
ใช้แผนผังเฟอร์นิเจอร์ร่วมในการวางสวิตช์และปลั๊ก เพื่อไม่ให้ถูกบังโดยตู้ โต๊ะ หรือโซฟา
3. การเลือกเบรกเกอร์ – ด่านแรกของความปลอดภัย
เบรกเกอร์ (Circuit Breaker) คือ อุปกรณ์ตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือโหลดเกิน หากเลือกเบรกเกอร์ผิดประเภทหรือขนาด อาจเสี่ยงต่อไฟไหม้ หรืออุปกรณ์เสียหาย
ประเภทของเบรกเกอร์ที่ควรรู้
- Main Breaker (เมนเบรกเกอร์): เบรกเกอร์หลักที่ควบคุมไฟทั้งบ้าน ควรเลือกขนาดให้เหมาะกับโหลดรวมของบ้าน เช่น 50–100 แอมป์
- Miniature Circuit Breaker (MCB): เบรกเกอร์ย่อยในตู้ DB (Distribution Board) ใช้แยกควบคุมแต่ละโซน
- RCD หรือ RCCB (ตัดไฟรั่ว): ป้องกันไฟดูด ควรติดตั้งร่วมกับ MCB ในห้องน้ำ หรือพื้นที่เปียก
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ไม่ควรใช้เบรกเกอร์ตัวเดียวควบคุมทั้งบ้าน เพราะจะตัดทั้งระบบหากเกิดปัญหาเล็กน้อย
- แยกวงจรเบรกเกอร์ เช่น ไฟแสงสว่าง, ปลั๊กห้องครัว, ปลั๊กแอร์, ปั๊มน้ำ เพื่อควบคุมง่าย
- ตู้ DB ควรอยู่ในที่เข้าถึงง่าย และมีช่องสำรองสำหรับวงจรใหม่ในอนาคต
4. การเลือกขนาดสายไฟ – ป้องกันไฟไหม้และอุปกรณ์พัง
ขนาดของสายไฟมีผลต่อการส่งพลังงานและความปลอดภัย หากใช้สายไฟเล็กเกินไป จะทำให้สายร้อนเกินหรือหลอมละลาย เสี่ยงต่อการลัดวงจรและไฟไหม้
แนวทางเลือกขนาดสายไฟ (โดยประมาณ)
การใช้งาน ขนาดสายไฟที่แนะนำ (ตารางมิลลิเมตร) ไฟแสงสว่างทั่วไป 1.5 Sq.mm ปลั๊กทั่วไปในห้องพัก 2.5 Sq.mm เครื่องทำน้ำอุ่น 4.0–6.0 Sq.mm แอร์ 9,000–12,000 BTU 2.5–4.0 Sq.mm เตาไฟฟ้า, ไมโครเวฟ 4.0–6.0 Sq.mm ตู้เมนเบรกเกอร์ (สายเมนบ้าน) 10.0–16.0 Sq.mm ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
- ระยะทางสายไฟ หากยาวเกิน 20 เมตร อาจต้องเพิ่มขนาดสายให้รองรับแรงดันตกคร่อม
- เลือกสายไฟชนิดทนความร้อน เช่น THW, NYY, VAF ตามตำแหน่งใช้งาน
5. ระบบสายดิน (Grounding) และอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว – เรื่องใหญ่ที่มักถูกละเลย
ระบบสายดิน (Grounding) คือการต่อระบบไฟให้มีทางระบายกระแสไฟส่วนเกินลงดินในกรณีที่เกิดไฟรั่ว โดยจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ RCD หรือ ELCB เพื่อป้องกันไฟดูดผู้ใช้งาน
ข้อควรปฏิบัติ:
- เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีโครงโลหะ เช่น ตู้เย็น, เครื่องทำน้ำอุ่น, เครื่องซักผ้า ต้องต่อสายดิน
- ช่างไฟควรฝัง แท่งกราวด์ (Ground Rod) ในดินลึกประมาณ 2.4 เมตร เชื่อมต่อกับสายดินของระบบ
- ติดตั้ง RCD ในตู้เบรกเกอร์หรือในจุดใช้งานสำคัญ เช่น ห้องน้ำ
ประโยชน์ของการติดตั้ง Ground + RCD:
- ป้องกันอันตรายจากไฟดูด
- ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุดจากไฟฟ้ารั่ว
- สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งานในบ้าน
สรุป เดินไฟบ้าน อย่างชาญฉลาด ต้องมองลึกถึงอนาคตและความปลอดภัย
การเดิน ระบบไฟฟ้า ในบ้านไม่ใช่เพียงแค่ “ลากสายให้ไฟเข้า” แต่ต้องอาศัยการวางแผน การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสม เพื่อให้บ้านของคุณใช้งานได้ปลอดภัย รองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในอนาคต และไม่ต้องซ่อมแซมภายหลังบ่อย ๆ
สรุป 5 จุดสำคัญที่ต้องรู้ก่อน เดินไฟบ้าน
- ตำแหน่งปลั๊กไฟ: ต้องเพียงพอและวางให้เข้ากับการใช้ชีวิตจริง
- ตำแหน่งสวิตช์: สะดวก ปลอดภัย และรองรับการใช้งานในทุกช่วงวัย
- ระบบเบรกเกอร์: แยกวงจรอย่างชัดเจน พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว
- ขนาดสายไฟ: เหมาะกับโหลดของแต่ละอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไฟไหม้
- ระบบสายดิน: ลดความเสี่ยงจากไฟดูด ช่วยให้บ้านปลอดภัยตลอดเวลา
03 June 2025
ในโลกของอุตสาหกรรมที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขัน การมีระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และออกแบบอย่างมืออาชีพ ถือเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของความสำเร็จของโรงงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิต โรงงานแปรรูป หรือคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse)
บริษัท Plantoprompt เข้าใจดีว่า ระบบไฟฟ้าในโรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงแค่ การเดินสายไฟ แต่เป็น ระบบวิศวกรรม สำคัญ ที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างละเอียด การคำนวณโหลดที่แม่นยำ การเลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน และการติดตั้งโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับบริการ รับติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงานครบวงจร โดยทีมงานของ Plantoprompt พร้อมอธิบายองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นในระบบไฟฟ้าโรงงาน เช่น ตู้เมนเบรกเกอร์, ระบบแรงต่ำ-แรงสูง, ระบบสำรองไฟ และมาตรฐานความปลอดภัยที่โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่ต้องมี
Plantoprompt คือใคร?
Plantoprompt คือ บริษัทวิศวกรรมก่อสร้างและระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม ที่ให้บริการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานแบบครบวงจร (Turnkey Electrical Solutions) ด้วยประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ทีมวิศวกรและช่างไฟฟ้ามืออาชีพของเรามีความเชี่ยวชาญในการทำงานตามมาตรฐาน IEC, IEEE, TIS และข้อกำหนดของการไฟฟ้าภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (MEA)
ทำไมโรงงานต้องใช้บริการครบวงจรในการติดตั้งระบบไฟฟ้า?
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานไม่ใช่เพียงการลากสายจากจุด A ไปยังจุด B เท่านั้น แต่เป็นการเชื่อมต่อ ระบบวิศวกรรม ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่แหล่งจ่ายไฟหลักไปจนถึงจุดปลายทาง เช่น เครื่องจักร, ระบบแสงสว่าง, เครื่องมือควบคุมอัตโนมัติ, และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ
ข้อดีของบริการครบวงจรจาก Plantoprompt
- ลดความเสี่ยงจากการออกแบบไม่สอดคล้องกัน (ไฟดับบ่อย, ไฟตก, ไฟเกิน)
- วางระบบตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
- ประหยัดต้นทุนในระยะยาว เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือเพิ่มระบบภายหลัง
- ทีมงานเข้าใจการใช้งานจริงในสายการผลิต
- ตรวจสอบและทดสอบระบบก่อนส่งมอบ เพื่อให้พร้อมใช้งานจริงทันที
ขั้นตอนการให้บริการจาก Plantoprompt
1. การสำรวจหน้างานและออกแบบระบบไฟฟ้า (Electrical Design & Planning)
เราจะเริ่มจากการ วิเคราะห์โหลดไฟฟ้า ที่โรงงานต้องใช้ เช่น มอเตอร์, เครื่องจักร, ระบบแสงสว่าง, เครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ เพื่อวางแผนระบบไฟให้เหมาะสมทั้งในด้าน:
- ขนาดหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer Size)
- การจัดสรรวงจรไฟฟ้า
- ตำแหน่งตู้เบรกเกอร์ (MDB, DB)
- ประเภทสายไฟ (แรงต่ำ/แรงสูง)
- การป้องกันไฟรั่ว, ไฟดูด และไฟเกิน
- การวางระบบสำรองไฟ (UPS/Generator)
ทุกแบบระบบจะถูกจัดทำเป็นแปลน (Electrical Single Line Diagram) พร้อมรายการอุปกรณ์ (BOQ) เพื่อใช้ในการก่อสร้าง
2. การติดตั้งตู้เมนเบรกเกอร์และตู้ควบคุมหลัก (MDB, MCC, DB)
ตู้เมนเบรกเกอร์ (Main Distribution Board: MDB) และตู้ควบคุมมอเตอร์ (MCC) ถือเป็นหัวใจของระบบไฟฟ้าโรงงาน
จุดเด่นของงานติดตั้งโดย Plantoprompt
- ใช้อุปกรณ์จากแบรนด์มาตรฐาน เช่น Schneider, ABB, Siemens
- เดินสายแบบแยกเฟส แยกโหลดอย่างเป็นระบบ
- มีระบบป้องกันไฟลัดวงจร, ไฟรั่ว, และโหลดเกินแบบแยกโซน
- ติดตั้งอุปกรณ์ Surge Protection และ Earth Ground เพื่อความปลอดภัย
3. การเดินสายไฟฟ้าแรงต่ำ – แรงสูง
Plantoprompt ให้บริการเดินสายไฟฟ้าครบทั้งสองระบบคือ:
ระบบไฟฟ้าแรงต่ำ (Low Voltage)
- เดินสายภายในอาคาร เช่น ไฟแสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องมือควบคุม, ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบอัตโนมัติ (Automation)
- เดินสายในท่อ EMT, PVC หรือ Cable Tray ตามประเภทอาคาร
- ติดตั้งระบบสายดินครบวงจร พร้อม Ground Rod
ระบบไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage)
- เดินสายจากหม้อแปลงเข้า MDB
- ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันแรงดันเกิน (Overvoltage Protection)
- ปรับโหลดให้สมดุลตามเฟส เพื่อป้องกันแรงดันตก
ทีมช่างจะทำงานร่วมกับวิศวกรไฟฟ้าเพื่อให้การเดินสายสอดคล้องกับแผนผังโครงสร้างอาคาร และไม่กระทบต่อระบบอื่น เช่น ระบบน้ำ, แอร์, หรือโครงสร้างอาคาร
4. ระบบสำรองไฟ (Backup Power)
ระบบไฟฟ้าโรงงานไม่สามารถมีจุดดับได้แม้เพียงเสี้ยววินาที โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้เครื่องจักรควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ หรือควบคุมอุณหภูมิ ดังนั้น Plantoprompt จึงมีบริการติดตั้งระบบสำรองไฟ 2 รูปแบบ
A. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator)
- ขนาดตั้งแต่ 10–1,000 kVA
- แบบ Auto Start เมื่อไฟดับ
- ใช้กับโหลดขนาดใหญ่ เช่น ระบบมอเตอร์, ระบบผลิตสินค้า
B. ระบบ UPS (Uninterruptible Power Supply)
- ใช้กับระบบที่ต้องการความต่อเนื่องสูง เช่น คอมพิวเตอร์, PLC, เซิร์ฟเวอร์
- แก้ปัญหาไฟกระชาก ไฟตก
เราช่วยคำนวณขนาดของระบบสำรองไฟให้เหมาะกับเวลาที่ต้องการใช้งาน และโหลดที่สำรองไว้ได้จริง เพื่อความมั่นใจในทุกวินาทีที่ระบบทำงาน
ความปลอดภัยต้องมาก่อน – มาตรฐานที่ Plantoprompt ยึดถือ
ทุกงานของ Plantoprompt จะดำเนินการภายใต้ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยระดับสากล เช่น:
- IEC 60364 สำหรับการติดตั้งระบบไฟฟ้าแรงต่ำ
- IEEE 141/242 สำหรับการออกแบบระบบไฟอุตสาหกรรม
- มาตรฐาน TIS จาก สมอ.
- การเดินระบบ Grounding อย่างถูกต้อง
- ติดตั้งเบรกเกอร์ RCD/ELCB ป้องกันไฟดูด
- ระบบแยกโหลดที่ออกแบบให้ทำงานต่อเนื่องหากโซนหนึ่งเกิดปัญหา
บริการหลังการขาย – เราไม่ทิ้งงานหลังติดตั้ง
Plantoprompt มีบริการ ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้ารายปี (Electrical Maintenance Service) ซึ่งครอบคลุม
- ตรวจเช็กอุณหภูมิสายไฟ
- ตรวจการทำงานของเบรกเกอร์, UPS, Generator
- ล้างตู้เมนเบรกเกอร์จากฝุ่นละออง
- ทดสอบระบบไฟฟ้าสำรอง
- ปรับโหลดใหม่หากมีการเพิ่มเครื่องจักร
เรายังมีบริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ในกรณีที่โรงงานมีปัญหาไฟฟ้า เพื่อให้ธุรกิจของคุณไม่สะดุด
สรุป หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการ ระบบวิศวกรรม Plantoprompt คือคำตอบ
ระบบไฟฟ้าในโรงงานไม่ใช่แค่เรื่องของการมีไฟใช้ แต่คือการออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการเติบโตในอนาคต หากคุณเลือกทีมที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนในภายหลัง หรือเสี่ยงต่ออันตรายร้ายแรงที่ไม่คาดคิด
ทำไมต้อง Plantoprompt?
- ประสบการณ์มากกว่า 15 ปี
- ทีมช่างและวิศวกรได้รับใบอนุญาตครบถ้วน
- ออกแบบตามโหลดจริง พร้อมรองรับการขยายโรงงานในอนาคต
- ใช้อุปกรณ์มาตรฐานสากล
- บริการหลังการขายจริงจังและยั่งยืน
- ลดความเสี่ยงจากการออกแบบไม่สอดคล้องกัน (ไฟดับบ่อย, ไฟตก, ไฟเกิน)
03 June 2025
ระบบไฟฟ้าไม่ใช่แค่สิ่งที่มองไม่เห็น หรือซ่อนอยู่ในผนังหรือเพดานบ้านและโรงงาน แต่ระบบไฟฟ้า คือ หัวใจหลักที่ทำให้อาคารทั้งหลังทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
การติดตั้งระบบไฟฟ้าอย่างไม่ถูกต้อง อาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลวง เช่น ไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร อุปกรณ์ชำรุดบ่อย หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดคือเพลิงไหม้
ดังนั้น การเลือกผู้ให้บริการ รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องที่ ต้องคิดให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย คอนโด อาคารพาณิชย์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนของระบบสูงยิ่งจำเป็นต้องใช้ทีมงานมืออาชีพที่มีใบอนุญาต มาตรฐาน และประสบการณ์ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูวิธีเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า ให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด โดยอ้างอิงจากหลักปฏิบัติในวงการ รวมถึงเคล็ดลับจากผู้ใช้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
1. ความสำคัญของการเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
1.1 ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
งานระบบไฟฟ้า คือ รากฐานสำคัญ ที่ส่งผลต่อระบบทั้งหมดในอาคาร หากทำไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการแก้ไข ซ่อมแซม หรือต้องรื้อใหม่ทั้งหมด
1.2 ส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
การเดินสายไฟผิดมาตรฐาน หรือไม่มีระบบป้องกันไฟรั่ว อาจทำให้เกิดไฟดูด ไฟฟ้าช็อต หรือเพลิงไหม้ เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
1.3 ลดปัญหาไฟตก ไฟเกิน
ผู้ให้บริการมืออาชีพจะมีความรู้ด้านการคำนวณโหลด และออกแบบระบบให้รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสมดุล ทำให้ระบบมีเสถียรภาพ
2. 6 เกณฑ์สำคัญในการเลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
2.1 ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และการขึ้นทะเบียน
- ช่างไฟฟ้าควรมีใบอนุญาตจาก สภาวิศวกร หรือ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)
- หากเป็นบริษัท ต้องมีการจดทะเบียนนิติบุคคลที่ชัดเจน และมี วิศวกรไฟฟ้า ที่มีใบประกอบวิชาชีพควบคุมงาน
- ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
- ใบรับรองผู้ประกอบการไฟฟ้าแรงสูง (ตามมาตรฐานของการไฟฟ้า)
ใบอนุญาต คือ หลักฐานว่าเขาผ่านการอบรม ความรู้ และมีคุณสมบัติเพียงพอในการทำงานอย่างถูกกฎหมาย
2.2 ตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา
- ขอ Portfolio หรือภาพผลงานที่เคยทำ โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของคุณ
- ตรวจสอบรายละเอียด เช่น
- ลักษณะของอาคารที่เคยทำ (บ้านเดี่ยว คอนโด โรงงาน ฯลฯ)
- ความซับซ้อนของระบบ (เช่น ระบบไฟฟ้าควบคุมอัตโนมัติ, ระบบสำรองไฟ, โซลาร์เซลล์)
- ระยะเวลาในการทำงาน
- ความพึงพอใจของลูกค้า
ประสบการณ์ที่หลากหลายและตรงกับงานของคุณจะช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มคุณภาพของงาน
2.3 ใช้วัสดุและอุปกรณ์ได้มาตรฐาน
- สายไฟควรเป็นของแท้ ได้มาตรฐาน มอก., IEC เช่น สาย THW, NYY, XLPE
- เบรกเกอร์, ตู้ไฟ, ระบบป้องกันไฟรั่ว ควรใช้แบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Schneider, ABB, Mitsubishi
- ขอเอกสาร รับรองการใช้วัสดุ หรือ Invoice จาก Supplier เพื่อความมั่นใจ
วัสดุมาตรฐานจะทนต่อโหลด ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และมีอายุการใช้งานนาน
2.4 มีระบบการรับประกันงานและบริการหลังการขาย
- ควรถามก่อนเริ่มงานว่า “มีการรับประกันหรือไม่?” โดยปกติควรมีรับประกัน 1–2 ปี
ขอบเขตของการรับประกันควรครอบคลุม- งานติดตั้ง
- อุปกรณ์ไฟฟ้า
- การซ่อมแซมเมื่อเกิดปัญหา
- มีทีมงานให้คำปรึกษา หรือเข้าตรวจเช็กหน้างานภายหลังได้รวดเร็ว
งานระบบไฟฟ้ามีโอกาสเกิดปัญหาได้ภายหลัง เช่น ไฟรั่ว ไฟไม่เข้า การรับประกันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในภายหลัง
2.5 ราคาต้องเหมาะสม – โปร่งใส ไม่ถูกจนผิดปกติ
- ขอตีราคาจากผู้รับเหมาหลายราย (อย่างน้อย 3 เจ้า)
- รายการเสนอราคาควรแยกรายการชัดเจน เช่น ค่าของ ค่าติดตั้ง ค่าแรง
- ระวังราคาที่ถูกผิดปกติ อาจแลกมาด้วย
- วัสดุไม่ได้มาตรฐาน
- งานไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีการรับประกัน
ราคาที่เหมาะสมควรสัมพันธ์กับคุณภาพ และไม่ซ่อนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในภายหลัง
2.6 ตรวจสอบรีวิว หรือสอบถามลูกค้าเก่า
- ดูรีวิวออนไลน์ เช่น บน Google Maps, Facebook, Pantip หรือเว็บไซต์ผู้ให้บริการ
- ขอข้อมูลจากลูกค้าเดิมโดยตรง หากทำโครงการใหญ่ เช่น โรงงานหรือสำนักงาน
- สังเกตคำชม/คำตำหนิ เช่น
- การตรงต่อเวลา
- การให้คำปรึกษาก่อนติดตั้ง
- การแก้ไขปัญหาหลังส่งมอบงาน
รีวิวจากลูกค้าเก่า คือ ประสบการณ์จริงที่คุณสามารถนำมาพิจารณาได้อย่างเป็นรูปธรรม
3. เคล็ดลับเพิ่มเติม: ก่อนเริ่มงานกับช่าง หรือ รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
3.1 ทำสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจน
- ระบุรายละเอียดงานติดตั้งให้ครบ
- ระบุวันเริ่มงาน วันส่งมอบงาน
- ใส่รายละเอียดการรับประกัน การเบิกเงินงวด
- แนบใบเสนอราคาที่ตกลงกันไว้
3.2 ขอแบบแปลนการเดินสายไฟ (Electrical Drawing)
- เป็นแผนผังที่บอกตำแหน่งสายไฟ ปลั๊ก สวิตช์ ตู้เบรกเกอร์ ฯลฯ
- ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเมื่อตรวจสอบงาน หรือซ่อมแซมในอนาคต
3.3 ตรวจสอบหน้างานก่อนจ่ายงวดสุดท้าย
- เช็กเบรกเกอร์ว่าแยกโหลดถูกต้องหรือไม่
- ทดสอบระบบ Grounding ว่าทำงานหรือไม่
- ตรวจปลั๊กไฟ แสงสว่าง สวิตช์ ครบหรือไม่
- ตรวจเบรกเกอร์ทุกตัว ติดตั้งได้แน่น ไม่มีสายไฟหลวม
4. คำถามที่ควรถามก่อนว่าจ้าง รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า
- มีใบอนุญาตหรือไม่?
- เคยติดตั้งระบบไฟฟ้ากับอาคารลักษณะนี้มากี่โครงการ?
- รับประกันงานกี่ปี และรับผิดชอบอะไรบ้าง?
- สามารถออกแบบระบบไฟ หรือมีวิศวกรควบคุมหรือไม่?
- มีบริการหลังงาน เช่น ตรวจเช็กประจำปี หรือการแก้ไขฟรีหรือไม่?
สรุป เลือก รับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า อย่างไรให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย คุ้มค่า
การเลือก รับเหมาติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาแต่เป็นเรื่องของ ความปลอดภัย ความมั่นคงของระบบ และ ความคุ้มค่าในระยะยาว โดยสิ่งที่คุณควรตรวจสอบ ได้แก่
- ใบอนุญาต และทีมงานวิศวกรที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย
- ประสบการณ์จากงานที่เคยทำ
- มาตรฐานของวัสดุที่ใช้
- การรับประกันหลังการติดตั้ง
- ความโปร่งใสของราคา
- ความเห็นจากลูกค้าเก่า
02 June 2025
ในส่วนของการผลิตและอุตสาหกรรม ระบบไฟฟ้าในโรงงาน คือ รากฐานสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิต เครื่องจักร และระบบควบคุมต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ซึ่งระบบไฟฟ้าเหล่านี้มีหลายประเภท ทั้งระบบแรงสูง แรงต่ำ ระบบควบคุมอัตโนมัติ และระบบสำรองไฟ
โดยการเข้าใจระบบไฟฟ้าแต่ละประเภทไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและบำรุงรักษาเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าขัดข้องหรืออุบัติเหตุได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน โดยเฉพาะ 3 หมวดหลักที่ควรรู้ ได้แก่ ระบบแรงต่ำ (Low Voltage System), ระบบแรงสูง (High Voltage System) และระบบควบคุม (Control & Automation System) รวมถึงอุปกรณ์สำคัญอย่าง MCC, MDB, DB, และระบบสำรองไฟฟ้า
1. ระบบไฟฟ้าโรงงาน แรงต่ำ (Low Voltage System)
ระบบแรงต่ำ หมายถึง ระบบที่มีแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 1,000 โวลต์ ซึ่งเป็นแรงดันไฟที่ใช้ในเครื่องจักรทั่วไป พัดลม มอเตอร์ขนาดกลาง ปั๊มน้ำ และอุปกรณ์แสงสว่าง
อุปกรณ์หลักในระบบแรงต่ำ
1.1 MDB – Main Distribution Board
- คือแผงไฟฟ้าหลักที่รับพลังงานจากหม้อแปลงหรือตู้แรงสูง
- ทำหน้าที่กระจายไฟฟ้าไปยังตู้ย่อย (DB, MCC)
- มีอุปกรณ์ป้องกัน เช่น MCCB, Surge Protector, Meter, RCD
- มักติดตั้งในห้องไฟฟ้าหลักของโรงงาน
1.2 DB – Distribution Board
- ตู้ย่อยที่แยกจาก MDB สำหรับจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์หรือโซนต่าง ๆ
- มีเบรกเกอร์ย่อย (MCB) สำหรับแยกโหลด เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องปรับอากาศ
- นิยมติดตั้งตามแต่ละพื้นที่ในโรงงาน เช่น โซนสำนักงาน โซนผลิต
1.3 MCC – Motor Control Center
- ตู้ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อควบคุม “มอเตอร์” และโหลดที่มีลักษณะเหนี่ยวนำ
- ภายในประกอบด้วย
- Magnetic Starter
- Overload Relay
- Soft Starter หรือ VFD (Inverter)
- Circuit Breaker
- สามารถควบคุมหลายมอเตอร์ในตู้เดียว แยกวงจรอิสระ
- ใช้กับมอเตอร์ปั๊มน้ำ, พัดลม, สายพานลำเลียง ฯลฯ
คุณสมบัติสำคัญของ ระบบไฟฟ้าโรงงานแรงต่ำ ที่ดี
- โหลดบาลานซ์ (Load Balance) – ไฟสามเฟสต้องมีโหลดใกล้เคียงกันเพื่อป้องกันแรงดันตก
- ระบบสายดินครบวงจร – เพื่อความปลอดภัยจากไฟรั่วหรือไฟดูด
- ใช้สายไฟตามมาตรฐาน IEC หรือ มอก. – เช่น THW, XLPE, NYY
2. ระบบไฟฟ้าโรงงาน แรงสูง (High Voltage System)
ระบบแรงสูงในโรงงาน ส่วนใหญ่ใช้แรงดันตั้งแต่ 12 kV ขึ้นไป (เช่น 22 kV หรือ 33 kV) เพื่อรับไฟจากการไฟฟ้าแล้วลดระดับแรงดันด้วยหม้อแปลง
องค์ประกอบหลักของระบบแรงสูง
2.1 หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer)
- แปลงไฟจาก 22 kV → 400 V หรือ 380 V
- ประเภทที่นิยมในโรงงาน
- Dry Type – ปลอดภัย ไม่มีน้ำมัน
- Oil Type – รับโหลดสูง ใช้งานกลางแจ้ง
- ต้องติดตั้งในพื้นที่ระบายอากาศดี พร้อมระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
2.2 Ring Main Unit (RMU)
- อุปกรณ์สวิตช์เกียร์แรงสูง ที่ใช้ควบคุมจ่ายไฟจากสายหลักการไฟฟ้า
- เพิ่มความเสถียรในการจ่ายไฟ – หากจุดหนึ่งมีปัญหา ก็สามารถสลับวงจรจ่ายจากอีกด้านได้
2.3 Protection Relay
- ระบบป้องกันการลัดวงจรของระบบแรงสูง
- ตรวจจับ Overcurrent, Earth Fault, Phase Loss
- ตัดวงจรอัตโนมัติเมื่อเกิดความผิดปกติ
3. ระบบควบคุมไฟฟ้าในโรงงาน (Control & Automation System)
ระบบนี้ไม่ได้ใช้พลังงานสูงเหมือนระบบแรงต่ำ/แรงสูง แต่มีความสำคัญมากในการควบคุมกระบวนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอัตโนมัติ
องค์ประกอบของระบบควบคุม
3.1 PLC – Programmable Logic Controller
- สมองกลควบคุมเครื่องจักรตามคำสั่งโปรแกรม
- ใช้ควบคุมสายพาน, แขนกล, เซ็นเซอร์, ระบบลำเลียง ฯลฯ
- รองรับการสื่อสารกับ SCADA หรือระบบ HMI
3.2 HMI – Human Machine Interface
- หน้าจอที่แสดงสถานะการทำงานของเครื่องจักร
- ใช้ควบคุม หรือปรับค่าการทำงานได้อย่างง่าย
3.3 SCADA – Supervisory Control and Data Acquisition
- ระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ สำหรับโรงงานขนาดใหญ่
- ตรวจสอบสถานะไฟฟ้า โหลด และสัญญาณผิดปกติจากระบบต่าง ๆ ได้เรียลไทม์
4. ระบบสำรองไฟ (Backup Power System)
ในโรงงานอุตสาหกรรม ไฟดับ เท่ากับหยุดผลิตและขาดทุน ดังนั้นการมีระบบไฟฟ้าสำรองจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ระบบสำรองไฟที่นิยมใช้ในโรงงาน
4.1 UPS – Uninterruptible Power Supply
- สำรองไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อไฟดับ (ไม่กระตุก)
- ใช้กับอุปกรณ์สำคัญ เช่น คอมพิวเตอร์, ควบคุม PLC, กล้อง CCTV
- สำรองไฟได้ตั้งแต่ 15 นาที ถึง 2 ชั่วโมง
4.2 Generator – เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
- ใช้สำรองไฟทั้งโรงงานหรือโซนสำคัญ
- เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติภายในไม่กี่วินาทีหลังไฟดับ
- ใช้น้ำมันดีเซล หรือก๊าซ NG เป็นเชื้อเพลิง
- ควรมี ATS (Automatic Transfer Switch) ควบคุมการสลับโหลด
4.3 Solar + ESS (Energy Storage System)
- ระบบสำรองพลังงานรูปแบบใหม่ ใช้แผงโซลาร์ร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม
- ลดค่าไฟฟ้าช่วงพีค และจ่ายไฟสำรองได้เมื่อจำเป็น
- ใช้ร่วมกับระบบ SCADA หรือ EMS ได้
5. ข้อควรคำนึงในการออกแบบ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน
5.1 ออกแบบแยกโหลดตามประเภท
- โหลดทั่วไป เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก
- โหลดอุตสาหกรรม เช่น มอเตอร์, ปั๊ม
- โหลดควบคุม เช่น PLC, SCADA
5.2 คำนวณโหลดไฟฟ้าให้แม่นยำ
- ใช้ Software คำนวณ Demand Load, Diversity Factor
- เผื่อโหลดสำรองประมาณ 10–30% สำหรับอนาคต
5.3 วางระบบ Grounding ครบทุกจุด
- ทั้งที่ MDB, MCC, โครงมอเตอร์, ตู้ Control
- วัดค่าความต้านทานดินให้น้อยกว่า 5 โอห์ม
5.4 เดินสายไฟแยกแรงดัน
- สายควบคุม ต้องแยกจากสาย Power เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
- ใช้ราง Cable Tray, Ladder, Duct อย่างเป็นระเบียบ
5.5 รองรับการตรวจสอบ และซ่อมบำรุง
- ติดตั้ง Test Terminal, Breaker Isolation
- มี Single Line Diagram ติดไว้ในตู้ทุกจุด
- ติดตั้งอุปกรณ์ Smart Monitoring เพื่อตรวจสอบโหลด
สรุป องค์ประกอบ ระบบไฟฟ้าในโรงงาน คือ
ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้มีแค่การจ่ายไฟให้เครื่องจักรเท่านั้น แต่เป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งการจ่ายพลังงาน (แรงต่ำ–แรงสูง) การควบคุมการผลิต และการสำรองกรณีไฟขัดข้อง โดยอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น MDB, MCC, DB, PLC หรือระบบสำรองไฟ ล้วนมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวม
การออกแบบระบบไฟฟ้าโรงงานที่ดี ต้องคำนึงถึง
- ความเหมาะสมกับโหลดการใช้งาน
- ความปลอดภัยสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สิน
- ความยืดหยุ่น รองรับการขยายในอนาคต
- ความสามารถในการควบคุมอัตโนมัติ และตรวจสอบข้อมูล
หากโรงงานของคุณกำลังเริ่มต้นวางแผน หรือรีโนเวท ระบบไฟฟ้า การเลือกทีมออกแบบและติดตั้งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะช่วยให้ระบบไฟของคุณทั้งปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และรองรับเทคโนโลยี
25 May 2025
ระบบไฟฟ้า คือ หัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะระบบนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เปิดไฟ อ่านหนังสือ ดูทีวี ชาร์จอุปกรณ์ ไปจนถึงระบบสมาร์ทโฮมที่ควบคุมทุกอย่างผ่านมือถือ
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การติดตั้ง ระบบไฟฟ้าในบ้านใหม่ กับ บ้านที่รีโนเวท นั้นมี “ความต่าง” กันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่การออกแบบ การเลือกวิธีเดินสายไฟ ไปจนถึงข้อควรระวังเฉพาะกรณี
บทความนี้จะเป็นการ เปรียบเทียบความต่างของงานระบบไฟฟ้าในบ้านทั้งสองประเภท เพื่อให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และคุ้มค่าในระยะยาว
1. จุดเริ่มต้นของงานติดตั้งระบบไฟฟ้า : บ้านใหม่ vs บ้านรีโนเวท
บ้านใหม่ – เริ่มจากศูนย์ วางแผนได้อิสระ
ในการสร้างบ้านใหม่ เจ้าของบ้านสามารถวางแผนระบบไฟฟ้าได้ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น:
- การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์
- การออกแบบวงจรไฟแยกส่วนห้องต่าง ๆ
- การติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าและเบรกเกอร์จากศูนย์
- การเลือกใช้สายไฟและอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
ข้อดีคือสามารถ ควบคุมคุณภาพของระบบได้ทั้งหมด ตั้งแต่การวางแบบ จนถึงการเลือกวัสดุและทีมช่าง
บ้านรีโนเวท – ต้องสำรวจระบบเดิมก่อนเสมอ
ในกรณีของบ้านเก่าที่ต้องการรีโนเวท ระบบไฟฟ้ามักมีอายุการใช้งานมานาน บางจุดอาจเสื่อมสภาพหรือไม่รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าสมัยใหม่ เช่น:
- ปลั๊กมีน้อย หรือไม่มีสายดิน
- ใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไป
- ไม่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ (RCD)
- เดินสายไม่เป็นระเบียบ หรือฝังอยู่ในผนังเก่า
ก่อนเริ่มติดตั้งใหม่ ช่างหรือวิศวกรไฟฟ้าจะต้องสำรวจระบบเก่าทั้งหมด เพื่อดูว่าสามารถดัดแปลง หรือต้องรื้อเปลี่ยนทั้งระบบ
2. การเดินสายไฟ – ฝังผนังหรือลอยดี?
บ้านใหม่: เดินสายฝังผนังหรือเดินใต้ฝ้าได้อย่างเรียบร้อย
- สามารถวางแนวสายไฟตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง
- สายไฟสามารถฝังในผนัง กำแพง หรือเดินใต้ฝ้าได้อย่างแนบเนียน
- ไม่ต้องเปิดผนังหรือเจาะโครงสร้างภายหลัง
- ติดตั้งตู้ควบคุม (MDB) ได้ตามตำแหน่งที่ต้องการ
งานเรียบร้อย สวยงาม เหมาะกับบ้านที่เน้นความสบายตา
บ้านรีโนเวท: เดินสายลอย หรือฝังใหม่ ขึ้นกับงบประมาณ
- ถ้าเป็นบ้านเก่าที่โครงสร้างผนังไม่สามารถเจาะฝังได้ อาจต้องเดินสายลอยหรือเดินในราง Wireway
- หากรีโนเวทขนานใหญ่ อาจเลือกฝังสายใหม่ใต้ผนังหรือเดินใต้ฝ้า (เหมือนบ้านใหม่)
- ต้องระวัง “การเจาะโครงสร้างเดิม” เพราะอาจกระทบความแข็งแรงของบ้าน
เดินสายลอยแบบ “ราง Wireway” หรือ “ท่อ EMT” ช่วยลดการเจาะฝัง และสามารถซ่อมบำรุงได้ง่ายในอนาคต
3. การเลือกชนิดสายไฟและอุปกรณ์
บ้านใหม่ – เลือกได้เต็มที่ ใช้วัสดุใหม่ทั้งหมด
- ใช้สายไฟชนิดใหม่ที่ทนความร้อน เช่น THW, VAF, NYY, XLPE
- เลือกเบรกเกอร์ RCD และตู้ MDB แบบโมเดิร์น
- สามารถติดตั้งระบบสำรองไฟ (Solar, EV Charger) ได้ตั้งแต่ต้น
- วางระบบสายดินอย่างครบถ้วน
ได้ระบบไฟฟ้าที่ “อัปเดตล่าสุด” ตามมาตรฐานความปลอดภัย
บ้านรีโนเวท – ต้องตรวจสอบสายเดิมและเปลี่ยนเฉพาะจุด
- ต้องตรวจสอบขนาดสายเดิมว่าเพียงพอหรือไม่
- หากอุปกรณ์เดิมยังดี อาจใช้ร่วมกับของใหม่ได้
- แนะนำให้เปลี่ยนเบรกเกอร์เป็น RCD ถ้ายังไม่มี
- อาจต้องเปลี่ยนปลั๊ก, สวิตช์, และเดินสายดินเพิ่มเติม
บ้านเก่าบางหลังไม่มีระบบสายดินเลย ต้องวางใหม่ทั้งระบบเพื่อความปลอดภัย
4. ความปลอดภัยและมาตรฐานที่ต้องใส่ใจ
บ้านใหม่ – ออกแบบระบบตามมาตรฐาน มอก.
- ติดตั้งเบรกเกอร์หลัก–ย่อยอย่างเหมาะสม
- มีสายดินทุกวงจรสำคัญ (ปลั๊ก, น้ำอุ่น, แอร์)
- เดินสายแบบแยกโหลด ไม่ปะปนกัน
- สามารถตรวจสอบการรั่วไฟและโหลดได้ง่าย
บ้านรีโนเวท – ต้องตรวจสอบ “ความเสื่อมสภาพ” เป็นพิเศษ
- เช็กสายไฟเก่าว่าฉนวนยังดีหรือไม่
- ตรวจสอบตู้เบรกเกอร์เดิมว่ามีคราบไหม้หรือไม่
- เปลี่ยนปลั๊กที่หลวม หรือมีสภาพชำรุดทันที
- ติดตั้ง RCD เพิ่มหากระบบเดิมไม่มี
- วัดค่าความต้านทานดินด้วย Earth Tester
ไม่ควรใช้ปลั๊กพ่วงแทนการเดินวงจรใหม่ เพราะเสี่ยงไฟไหม้สูง
5. งบประมาณ: ต่างกันแค่ไหน?
บ้านใหม่ – วางงบง่าย ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
- วางแผนค่าใช้จ่ายร่วมกับงานก่อสร้างอื่น
- สามารถเลือกใช้วัสดุคุณภาพกลาง–สูงได้ตามงบ
- ง่ายต่อการเบิกงบจากธนาคาร (ถ้ากู้เพื่อสร้างบ้าน)
ราคาค่าติดตั้งระบบไฟบ้านใหม่ (ทั้งหลัง): โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 – 200,000 บาท ขึ้นกับขนาดบ้านและอุปกรณ์
บ้านรีโนเวท – งบผันผวน ขึ้นกับ “สภาพของระบบเก่า”
- ต้องเผื่องบไว้สำหรับงานรื้อ เปลี่ยน ทดแทนอุปกรณ์เดิม
- งบบานปลายง่ายหากเจอระบบเดิมเสียหายมาก
- หากเดินสายฝัง ต้องเผื่องบซ่อมแซมผนัง/ฝ้า
แนะนำให้ตรวจสอบระบบไฟเดิมก่อนทำสัญญาจ้างช่าง เพื่อประเมินงบได้แม่นยำ
6. ข้อควรระวังเฉพาะกรณี
บ้านใหม่
- ตรวจสอบแบบไฟฟ้าให้ตรงกับแบบบ้าน
- แยกวงจรโหลดหนัก เช่น แอร์, น้ำอุ่น
- ติดตั้งสายดินทุกจุด ตั้งแต่เริ่มต้น
บ้านรีโนเวท
- อย่าใช้สายไฟเก่าร่วมกับอุปกรณ์ใหม่ที่โหลดสูง
- อย่าต่อเพิ่มปลั๊กจากปลั๊กเดิมแบบต่อพ่วง
- ตรวจสอบฝ้า ผนัง และแนวเดินสายเดิมให้ครบ
7. เลือกช่างหรือติดตั้งกับทีมไหนดี?
ไม่ว่าจะบ้านใหม่หรือรีโนเวท ควรเลือกช่างหรือผู้รับเหมาระบบไฟฟ้าที่
- มีใบอนุญาตช่างไฟฟ้า หรือวิศวกรไฟฟ้า กว.
- เคยมีผลงานติดตั้งบ้านหรืออาคารพักอาศัย
- มีแบบแปลนไฟฟ้า SLD และตารางวงจรให้ดู
- เสนอราคาชัดเจน พร้อมระบุวัสดุที่จะใช้
- มีการรับประกันงาน (อย่างน้อย 1 ปี)
บ้านรีโนเวทอาจต้องใช้ “ช่างไฟที่มีความสามารถเฉพาะด้าน” เช่น เดินสายลอยอย่างสวยงาม หรือเดินท่อ EMT แบบโชว์
สรุป
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในบ้านใหม่ กับบ้านรีโนเวท แม้จะมีเป้าหมายเหมือนกัน คือเพื่อให้ใช้งานไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่ในเชิงการออกแบบและการดำเนินงานกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านความยืดหยุ่น การควบคุมคุณภาพ และการรับมือกับระบบเดิม
เปรียบเทียบโดยสรุป
หัวข้อ
บ้านใหม่ บ้านรีโนเวท
การออกแบบ
เริ่มจากศูนย์ วางแผนได้อิสระ ต้องสำรวจระบบเดิมก่อน
การเดินสายไฟ
ฝังผนัง/ใต้ฝ้า ได้สวยงาม เดินสายลอย/ราง EMT หากเจาะไม่ได้
อุปกรณ์ไฟฟ้า
เลือกใหม่ทั้งหมด ใช้ของเดิมร่วมบางส่วนได้
ระบบความปลอดภัย
วางสายดินและเบรกเกอร์ใหม่ครบ ต้องเสริมระบบให้เทียบเท่ามาตรฐานใหม่
งบประมาณ
ควบคุมได้ง่าย ผันผวนตามสภาพของระบบเดิม
- การกำหนดตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์
24 May 2025
ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ที่กำลังสร้าง หรือบ้านเก่าที่ต้องการปรับปรุงระบบไฟฟ้า การ “เดินสายไฟ” ถือเป็นงานพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะ ระบบไฟฟ้า ที่ดี ไม่เพียงช่วยให้การใช้งานสะดวกและต่อเนื่อง แต่ยังเป็นหัวใจของ “ความปลอดภัย” ในบ้านทุกหลังอีกด้วย
เจ้าของบ้านหลายคนอาจเข้าใจว่าเรื่องของการเดินสายไฟเป็นหน้าที่ของช่างไฟหรือวิศวกร แต่ในความเป็นจริง เจ้าของบ้านเองก็ควรมีความรู้พื้นฐานบางอย่าง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของงาน ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ และดูแลรักษาระบบได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า “ รับเดินสายไฟในบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง? ” พร้อมชี้จุดที่ควรใส่ใจ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า เช่น ไฟดูด ไฟไหม้ หรือระบบไฟฟ้าขัดข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ทำไมเจ้าของบ้านต้องรู้เรื่องระบบไฟฟ้า?
หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องไฟฟ้า เพราะมีช่างหรือผู้รับเหมาดูแลอยู่แล้ว แต่การมี “ความรู้เบื้องต้น” มีประโยชน์มากในหลายมิติ:
- ตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งได้
- วางแผนจุดปลั๊กไฟ แสงสว่าง ได้ตรงกับการใช้งานจริง
- เลือกวัสดุไฟฟ้าให้เหมาะสม คุ้มค่า
- ดูแลรักษาระบบเบื้องต้นได้เอง
- ลดโอกาสเกิดอันตรายจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
โดยเฉพาะในยุคที่อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านมีมากขึ้น เช่น ทีวี 4K, ตู้เย็น Inverter, เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า, สมาร์ทโฮม ฯลฯ การเดินสายไฟอย่างถูกต้องและปลอดภัยจึงสำคัญมาก
2. เลือกช่างไฟต้องดูอะไร? อย่าเสี่ยงกับ “ช่างไม่มีใบอนุญาต”
หนึ่งในจุดเสี่ยงของบ้านหลายหลัง คือการเลือกใช้ “ช่างไฟไม่ได้มาตรฐาน” ซึ่งอาจไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่ถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร, เดินสายไฟผิดขนาด, ไม่มีระบบสายดิน ฯลฯ
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนจ้างช่างไฟ
- มีใบอนุญาตช่างไฟฟ้าจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือไม่
- มีใบประกอบวิชาชีพช่างไฟฟ้า ระดับ 1–3 (กรณีระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่)
- มีผลงานการเดินระบบไฟบ้านมาก่อนหรือไม่
- สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพได้หรือไม่
- มีใบเสนอราคาชัดเจน พร้อมแสดงรายการวัสดุ
หากเป็นบ้านใหม่หรือระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหลัง ควรใช้ช่างที่มีวิศวกรไฟฟ้ารับรองแบบ (มี กว.) เพื่อให้ผ่านมาตรฐานการขอเลขบ้าน/ไฟฟ้า
3. เข้าใจชนิดของสายไฟก่อนติดตั้ง – เลือกให้ถูก ปลอดภัย ใช้งานได้นาน
สายไฟเป็นหัวใจของระบบไฟฟ้าในบ้าน การเลือกใช้สายไฟผิดประเภทหรือขนาดไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิด “ความร้อนสะสม” จนเป็นต้นเหตุของไฟไหม้ได้
ชนิดของสายไฟที่นิยมใช้ในบ้าน
ชื่อสายไฟ
คุณสมบัติ การใช้งาน VAF
สายแบน หุ้ม PVC เดินในผนัง/ฝ้า สำหรับแสงสว่าง
THW
ทนความร้อน 70°C เดินในท่อร้อยสาย หรือภายนอก
NYY
หุ้มสองชั้น ใช้ภายนอก/ฝังดิน สายเมนจากตู้ไฟเข้าบ้าน
XLPE ทนความร้อนสูง 90°C ใช้กับโหลดสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ
ขนาดสายไฟ (ตามกระแสที่รับได้)
ขนาดสาย (ตร.มม.)
รองรับกระแส (แอมป์) ตัวอย่างการใช้งาน
2.5
20–25 ปลั๊กไฟทั่วไป 4.0
30–35 ปั๊มน้ำ
6.0
40–45 เครื่องทำน้ำอุ่น
10.0 ขึ้นไป 50+ ระบบแอร์ใหญ่ หรือสายเมน
แนะนำ: เลือกสายไฟที่มี มอก. รับรอง และมีฉนวนหุ้มคุณภาพสูง ป้องกันความชื้นและหนูกัด
4. ระบบสายดิน – เรื่องเล็กที่ห้ามมองข้าม
“สายดิน” หรือ Grounding System คือระบบที่ช่วยป้องกันไฟฟ้ารั่ว และช่วยตัดไฟทันทีเมื่ออุปกรณ์มีปัญหา เช่น เครื่องทำน้ำอุ่นรั่ว, ปลั๊กไฟช็อต
หน้าที่ของสายดิน
- ป้องกันไฟดูด
- นำกระแสไฟรั่วลงดินได้ทันที
- ทำงานร่วมกับเบรกเกอร์ตัดไฟอัตโนมัติ (RCD/ELCB)
การติดตั้งสายดินที่ถูกต้อง
- เดินสายดินจากทุกปลั๊กสำคัญ (เฉพาะปลั๊ก 3 ขา)
- ติดตั้ง Ground Rod (แท่งทองแดงฝังดิน) อย่างน้อย 1 จุด
- ความต้านทานดินต้องต่ำกว่า 5 โอห์ม (วัดด้วย Earth Tester)
- ใช้สายไฟสีเขียว/เหลือง เป็นมาตรฐานของสายดิน
บ้านที่ไม่มีสายดิน มีความเสี่ยงสูงมากต่อไฟดูด โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว และพื้นที่ชื้น
5. ตู้เมนเบรกเกอร์ – จุดควบคุมความปลอดภัยทั้งระบบ
ตู้เมนเบรกเกอร์ (Main Distribution Board – MDB) คือตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหลัง ใช้สำหรับแบ่งวงจร ควบคุมการตัด–ต่อไฟ และป้องกันไฟลัดวงจร
ส่วนประกอบของตู้เมนเบรกเกอร์
- Main Breaker: ตัดไฟทั้งบ้านเมื่อเกิดเหตุ
- Miniature Circuit Breaker (MCB): ตัดวงจรย่อย เช่น ห้องนอน ห้องครัว
- RCD หรือ ELCB: ตัดไฟเมื่อมีไฟรั่ว
- Surge Protector: ป้องกันไฟกระชากจากฟ้าผ่า
เคล็ดลับการออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์
- แบ่งวงจรออกเป็นห้อง หรือประเภทโหลด เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องทำน้ำอุ่น
- เลือกเบรกเกอร์ที่รับกระแสเหมาะสม ไม่เล็กเกิน ไม่ใหญ่เกิน
- ติดตั้งในจุดที่เข้าถึงง่าย เช่น ผนังหน้าบ้านหรือห้องเก็บของ
- ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น
- มีช่องสำหรับต่อวงจรสำรองในอนาคต
หากบ้านมีระบบโซลาร์เซลล์ หรือ EV Charger ควรออกแบบตู้เมนพิเศษร่วมกับวิศวกรไฟฟ้า
เคล็ดลับเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบไฟในบ้าน
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าทุก 2–3 ปี โดยช่างมืออาชีพ
- เปลี่ยนปลั๊กหรือสายไฟที่กรอบ แตก ลอกทันที
- ห้ามใช้ปลั๊กพ่วงต่อหลายชั้น
- ใช้เบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว (RCD) โดยเฉพาะในห้องน้ำ
- เดินสายไฟอย่างเรียบร้อย ไม่พาดผ่านจุดเสี่ยงหรือใกล้น้ำ
สรุป สิ่งที่เจ้าของบ้านควรรู้
การเดินสายไฟในบ้าน เป็นงานสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความปลอดภัยของคนในบ้าน” และ “อายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า” ในระยะยาว การรู้พื้นฐานต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผน จ้างช่าง และดูแลระบบไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ
- เลือกช่างไฟที่มีใบอนุญาต และมีผลงานน่าเชื่อถือ
- เข้าใจชนิดและขนาดของสายไฟ ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์
- ติดตั้งระบบสายดิน อย่างครบถ้วน ลดความเสี่ยงไฟดูด
- ออกแบบตู้เมนเบรกเกอร์ให้มีระบบป้องกันครบ
- ดูแลระบบอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเช็กทุก 2–3 ปี
- ตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งได้
บทความที่น่าสนใจ
สงวนลิขสิทธิ์ © [ 2023 ] บริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด. บทความทั้งหมดในเว็บไซต์นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท แพลนทูพร้อมท์ จำกัด ห้ามนำไปใช้, ทำซ้ำ, แก้ไข, หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะไม่ว่าจะในรูปแบบใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท. การละเมิดสิทธิ์ใด ๆ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย.