ปัจจุบันการติด โซล่าเซลล์โรงงาน (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งในภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจการติดตั้งโซล่าเซลล์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในโรงงาน สามารถช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจได้ในส่วนของค่าไฟ ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับกำไรเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของความนิยมดังกล่าว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความคุ้มค่าในระยะยาวเพราะปัจจุบันการติดโซลาร์โรงงานในภาคธุรกิจสามารถคืนทุนได้ภายใน 5-6 ปี เท่านั้น แต่การใช้งานหรือรับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟยาวนานถึง 25 ปี ซึ่งหลังจากเลยจุดคุ้มทุน นับว่าเป็นกำไรที่เจ้าของธุรกิจจะได้รับไปเต็มๆ

3 ปัจจัยหลัก ก่อนติดโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในโรงงาน เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด

การเตรียมตัวก่อนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อธุรกิจ ควรดูอะไรบ้าง

  1. ทิศทางของอาคารที่ต้องการจะติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์รูฟ (Solar Roof)

ทิศทางของอาคารที่เหมาะแก่การวางโครงสร้างงานหลังคาโซลาร์รูฟท็อป มากที่สุด คือทิศใต้ เนื่องจากพระอาทิตย์วิ่งอ้อมใต้ ทำให้อาการที่ตั้งอยู่ในทิศทางนี้ ได้รับแสงอาทิตย์ได้ดีที่สุด ในขณะที่ทิศตะวันตก เป็นทิศที่รับแสงได้ดีรองลงมา และ ทิศเหนือ เป็นทิศที่ควรหลีกเลี่ยงในการติดตั้งงานหลังคา Solar มากที่สุด

อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ เงาบังที่พาดผ่านหลังคา เช่น เงาจากต้นไม้ใหญ่ หรือ ตึกสูง เงาเหล่านี้จะส่งผลต่อความเข้มแสงที่แผง solar ได้รับ และเป็นผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการเลือกบริเวณที่จะติดตั้งงานหลังคา Solar Rooftop ที่ดีที่สุด คือ ทิศใต้ และไม่มีเงาบัง

  1. ประเภทหลังคาและโครงสร้างหลังคา

ควรให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานหลังคาเป็นผู้ตรวจสอบและวิเคราะห์ว่าประเภทหลังคาและโครงหลังคา หรือ ดาดฟ้าของบริเวณที่ต้องการติดตั้งระบบงานหลังคาโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) มีความแข็งแรงเพียงพอหรือ ไม่ ซึ่งต้องวิเคราะห์จากแบบหลังคาเดิมของอาคารที่มีอยู่ และ การตรวจสอบสภาพหน้างานจริง ทั้งประเภทของหลังคา ระยะช่วงห่างของเสา ระยะแปและขนาดของแป เพื่อนำมาคำนวณความแข็งแรงของโครงสร้าง ซึ่งโดยปกติแล้ว แผงโซลาร์ และชุดอุปกรณ์ยึด จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

  1. รายละเอียดการใช้ไฟฟ้า หรือ พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า

แต่ละธุรกิจมักมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามประเภทกิจการต่างๆ โดยประเภทของอุปกรณ์การใช้ไฟฟ้า (กินไฟมากน้อยไม่เท่ากัน) และ ช่วงเวลาที่ใช้ไฟฟ้าในแต่ละวัน โดยข้อมูลเบื้องต้นที่ควรนำมาใช้พิจารณาก่อนการติดตั้งโซลาร์รูฟ บนหลังคา ได้แก่

– ค่าไฟย้อนหลัง 12 เดือน เพื่อดู Trend การใช้ไฟในแต่ละช่วงของปี หากดูจำนวนเดือนที่น้อยเกินไป เดือนนั้นๆ อาจไม่สะท้อนการใช้ไฟฟ้าจริงของกิจการนั้นๆ และในบางกิจการอาจะมีการใช้ไฟ ในช่วงแต่ละ ฤดูไม่เท่ากัน เช่น โรงเรียน มีการใช้ไฟน้อยในช่วงโรงเรียนปิดเทอม

– Load Profile หรือ ข้อมูลการไฟฟ้าตามช่วงเวลาทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนและรายปี โดยปกติระบบ Solar จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 4 ชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในวันนั้นๆ โดยมีลักษณะการผลิตไฟในรูปแบบระฆังคว่ำ ดังนั้น Load Profile จึงสำคัญมากในการคำนวณระบบที่จะติดตั้งไม่ให้เกิน Load Profile และโดยส่วนใหญ่จะคำนวณให้การใช้งานระบบอยู่ที่ 80% นอกเหนือจากการนำ Load Profile มาคำนวณกำลังการผลิตของ Solar ที่ควรจะติดตั้งแล้ว ยังนำข้อมูลมาปรับพฤติกรรมการใช้ไฟเบื้องต้นก่อนการคำนวณกำลังไฟที่ควรติดตั้ง เช่น การแบ่งการเปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเว้นอย่างน้อย 15 นาที เพื่อลด Peak Load หรือ การใช้ Energy Solutions มาช่วยลดค่าไฟเบื้องต้น เช่น การติดฟิล์มกระจก เพื่อลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร หรือการเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED เพื่อประหยัดไฟมากขึ้น

การลงทุนติดตั้งระบบ โซลาร์โรงงาน เพื่อธุรกิจ เป็นการลงทุนที่มูลค่าสูง จึงควรให้ความสำคัญกับการปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งในทุกๆ ธุรกิจ โรงงาน โชว์รูม หรือแม้แต่ร้านอาหาร โฮมออฟฟิศ ก็สามารถติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปบนหลังคาได้เช่นกัน เพื่อช่วยลดค่าไฟได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินธุรกิจลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืน

แชร์บทความนี้